บทสรุป 8 Lessons Learned งาน "LIB Talks Finale 2023" เมื่อวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม 2566 ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
1. อัปเดต RoadMap และพัฒนาการที่สำคัญของ Liberator
คุณภาวลิน ลิมธงชัย - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด
"เราประหยัดค่าคอมมิชชันแก่นักลงทุนทุกท่านในปี 2023 เป็นจำนวน 219 ล้านบาท และเราจะไม่หยุดเพียงเท่านี้” คุณตูน ภาวลิน ลิมธงชัย กล่าวในงาน LIB Talks Finale 2023 ที่ผ่านมา
Liberator กับการรังสรรค์ผลงานที่ไม่เคยหยุดในปีนี้พร้อมเปิดตัว Subscription Model ในงานที่ทำให้การคำนวณต้นทุนเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันในโลกของการลงทุน
เส้นทางการเดินทางเพื่อการเปลี่ยนแปลงในโลกลงทุนที่ทุกคนเท่ากัน กับรางวัลที่เป็นประจักษ์จากทุกภาคส่วน อาทิเช่น รางวัลโบรกเกอร์อันดับ 1 ประเภทหุ้นสามัญ (Equity), รางวัลโบรคเกอร์อันดับ 2 ประเภท อนุพันธ์ (TFEX), รองชนะเลิศอันดับ 1-4 TikTok Broker Star จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
การนำทุก Feedback มาปรับปรุงเพื่อพัฒนาให้ Liberator นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยพยายามพัฒนาและเพิ่มผลิตภัณฑ์ เช่น MT5, US Option, SBL และ Global Trading ในปี 2024
นอกจากนี้ภายในงานยังมีการเปิดตัว “LIBFAM MODEL” การเก็บค่าธรรมเนียมแบบเหมาจ่ายในราคาโปรโมชั่นแบบแพ็คเกจขนาดเล็ก (S), ขนาดกลาง (M), ขนาดใหญ่ (L) ขึ้นอยู่กับปริมาณวอลุ่มเทรดในแต่ละเดือน และแพ็ค Basic สำหรับลูกค้าที่ไม่ได้ทำการซื้อขายต่อเดือนเยอะแบบฟรี ๆ เดือนละ 2 ไม้ โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2024 ที่จะถึงนี้ สามารถเทรดได้ทั้งหุ้นไทย, อนุพันธ์, รวมไปถึงหุ้นอเมริกาในตอนนี้
สามารถติดตามรายละเอียด ได้ที่ : https://www.liberator.co.th/libfam-model/
2. ทำความรู้จักกับ StockLend by Nestifly
คุณรัฐพล ลิมธงชัย - Chief Marketing Officer จาก Nestifly
Nestifly เป็นบริษัทแรกในไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ให้ดำเนินธุรกิจ Peer-to-Peer Lending (P2P Lending) คือ การลงทุนรูปแบบใหม่ โดยใช้หุ้นที่มีเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันในการกู้ยืมเงิน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เน้นซื้อถือหุ้นระยะยาว เจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการที่ต้องการสินเชื่อ สามารถนำหุ้นที่ตัวเองมี มาค้ำประกันเพื่อขอกู้ยืมเงิน โดยมีอัตราดอกเบี้ย 6.2% - 9.7% และค่าธรรมเนียมเพียง 1.5% - 2.1% ต่อปี โดยที่หุ้นของท่านยังคงอยู่ในการดูแลของ บล. ลิเบอเรเตอร์ และยังคงได้รับเงินปันผลและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ จากการถือหุ้นเช่นเดิม
รายชื่อหุ้น และกลุ่มหุ้นแบ่งออกเป็น Max 40, Max 50, Max 60 สามารถใช้หุ้นมาค้ำเพื่อกู้ได้มากถึง 60% ของมูลค่าหุ้นที่นำมาค้ำประกัน
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.nestifly.com/
3. ความสำคัญ 5 ข้อของการวางแผนการลงทุนในเด็กและวัยรุ่น
คุณพีรดา หิรัญพฤกษ์ (น้องอยู่นี่ ลูกสาวคุณหนุ่ยพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ หรือ คุณหนุ่ย แบไต๋)
Compound Interest ยิ่งลงทุนไวยิ่งดี: ยิ่งลงทุนไวก็สามารถสร้างการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอได้มากกว่า เนื่องจากพลังของ “ดอกเบี้ยทบต้น” แม้ระยะเวลาลงทุนจะเท่ากัน แต่หากเริ่มต้นลงทุนไว ก็อาจจะสามารถเกษียณได้ไว หรือมีผลตอบแทนของการลงทุนที่มากกว่า
Risk Tolerance ความเสี่ยงที่รับได้: ในแต่ละวัยก็จะมีความเสี่ยงที่รับได้แตกต่างกันไป ดังนั้นการลงทุนควรมีการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่หลากหลายขึ้นอยู่กับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แต่ละบุคคลรับได้
Learning Oppotunity โอกาสในการเรียนรู้: ในเรื่องการลงทุน การมองให้รอบด้าน พัฒนาความคิด การวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ส่งเสริมกระบวนการคิดที่มากกว่าอายุ
Financial Discipline วินัยทางการเงิน: ส่งเสริมให้เด็กๆ มีวินัยทางการลงทุน การเก็บออม การใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเห็นคุณค่าของเงินที่หามาได้ และสามารถต่อยอดพื้นฐานความรู้ไปสู่อาชีพในด้านอาชีพสายการเงินและการลงทุนได้อีกด้วย
Retirement Security ความมั่งคั่งยามเกษียณ : ความปลอดภัยที่จะมีเงินใช้ให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนในตอนเกษียณทั้งตัวเองและครอบครัว
4. แนวทางการลงทุนปีมังกรทอง
คุณวิจิตร อารยะพิศิษฐ - นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด
มี 2 ประเด็นที่ตอนนี้ยังคงถูกจับตามองจากตลาดทั่วโลกคือ ดอกเบี้ยและสภาวะถดถอย
เนื่องจาก “การเร่งตัวของดอกเบี้ย” ไปสู่ “จุดพีค” ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของ Bond Yield ลดลง มาจากที่นักลงทุนเริ่มกอบโกยกำไรจากการถือครองพันธบัตร ทำให้ โอกาสในการลงทุนของตลาดทุนจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น เนื่องจาก ดอกเบี้ยถึงจุดพีค ผลตอบแทนจากการลงทุนของพันธบัตรรัฐบาลจะลดน้อยลง
ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะต้องตามติดการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง
อีกหนึ่งความเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ สภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่มีต่อกำลังซื้อที่น้อยลง มีผลต่อ GDP ในประเทศต่าง ๆ และ GDP ก็ส่งผลต่อการ Valuation ประเทศนั้น ๆ
GDP ในประเทศไทยก็เช่นกัน ที่ในปีหน้ามีแนวโน้มที่จะสดใสขึ้น เนื่องจาก ปัจจัยสัญญาณของภาคการบริโภค ภาคการส่งออกและภาคการลงทุนที่อาจจะดีขึ้น
สุดท้ายภาคการท่องเที่ยวที่เป็นความหวังของประเทศไทยมาโดยตลอด ก็มีโอกาสจะดีขึ้นในปีหน้า แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับปรุงให้กลับมาเท่าเดิม โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้ประมาณ 28 ล้านคน และคาดว่าจะมากขึ้นในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมีหน้าที่ติดตามตัวเลขทางเศรฐกิจเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาจังหวะกลับตัวในปีหน้า เพราะยังคงมองเห็นว่าหลายอุตสาหกรรมมีโอกาสเติบโต และ Valuation ตอนนี้มีมูลค่าไม่สูง
สุดท้าย อาจารย์เพชรมีกลุ่มหุ้นการบ้านที่น่าสนใจและมุมมองในการลงทุนเพื่อนักลงทุนที่มาในงานทั้ง กลุ่ม BIG CAP และ SMALL CAP
5. แชร์มุมมองแนวคิดการลงทุนแบบพื้นฐานทั้งหุ้นไทยและหุ้นอเมริกา
เพจ หุ้นไรไม่บอก, เพจ หุ้นเปลี่ยนโลก, และ เพจ VI เพื่อชีวิต
ชวิศ ธรรมชนะเลิศ - เพจ หุ้นไรไม่บอก
ผลประกอบการในปีนี้เป็นบวก : 30-50%
กลยุทธ์การลงทุน : เป็นแบบ Bottom up และ Top down ลงมา โดยเกณฑ์การคัดหุ้นที่ใช้เปนตะแกรงในการคัดหุ้น คือธุรกิจที่ความเป็นเลิศในบางอย่าง ถึงแม้ตลาดไม่ดี
ธุรกิจที่สนใจ: จะเป็นธุรกิจที่มองเห็น Outlook ของธุรกิจชัดว่าในอนาคต 2-3 ไตรมาส มีโอกาสจะดีขึ้น มี Five Force ที่ดี ผู้บริหารเก่ง และ เป็นหุ้นมี Story มี Catalyst เข้าใจง่าย
การบริหารพอร์ตโฟลิโอ : ถือหุ้นครั้งละ 3 - 4 ตัว มี 2 ตัวถือส่วนใหญ่ของพอร์ต เน้นมองหาหุ้นเติบโต
แผนในปีหน้า : มีการมองภาพ Macro มากขึ้น หากโฟกัสที่ GDP อาจจะหาหุ้นที่เกี่ยวกับ GDP เช่น กลุ่มสื่อสาร Media, กลุ่มการบริโภคภายในประเทศ Domestic Consumption, ท่องเที่ยว Tourism หรือ หากดอกเบี้ยลด หุ้น Leasing ก็มีโอกาสจะกลับมา
ธนทัต วัฒนานุกร - เพจ VI เพื่อชีวิต
ผลประกอบการในปีนี้เป็นบวก : 5 - 10%
กลยุทธ์การลงทุน : จะเน้นลงทุนในกลุ่มที่ Laggard ไม่มีคนสนใจและกำลัง Turn around โดยหาจาก Bottom Up จากอุตสาหกรรมจากกลุ่มที่คนไม่สนใจ หาหุ้นที่กองล่าง มี Downside Risk ต่ำ
ธุรกิจที่สนใจ : เปิดหน้า Set ดูรายอุตสาหกรรม และค่อยเข้าไปเจาะลึกเป็นหุ้นรายตัวไป หาหุ้นที่มี Story และมี Catalyst ในการหา Upside Gain
เมธพนธ์ อมรธีรสรรค์ - เพจ หุ้นเปลี่ยนโลก
กลยุทธ์การลงทุน : เน้นการลงทุนหุ้นต่างประเทศ ในตลาดอเมริกา มีนักวิเคราะห์ บทวิเคราะห์ และข้อมูลที่มีมากกว่าและไวกว่าเมืองไทย การเล่นรายไตรมาสของนักลงทุนระยะยาวสู้ยาก เนื่องจากตลาดอเมริกามีประสิทธิ์ภาพมาก การลงทุนสายพื้นฐานแบบสั้นจะมีโอกาสชนะน้อยกว่า ทางรอด คือต้องมองให้ไกลกว่าที่นักวิเคราะห์มอง ไม่ควรมองเป็น Quarter อาจจะต้องมองไกลกว่า รายไตรมาส
การบริหารพอร์ตโฟลิโอ : พยายามอย่าไปซื้ออะไรที่ตลาดให้ราคาแพง เน้นกระจายและคอยติดตามมากกว่า โอกาสผิดเยอะกว่า ถือหุ้นประมาณ 10-12 ตัว
Q&A
จุดเริ่มต้นสนใจลงทุนตั้งแต่ตอนไหน พร้อมเหตุผล?
เพจ VI เพื่อชีวิต : สนใจการลงทุนตั้งแต่อายุ 19 ปี และเริ่มมองเห็นความสำคัญของการลงทุน อยากหาเงินเพื่อสร้างความมั่งคั่ง
ในด้านความชอบ ชอบการลงทุนประเภทไหน อาทิ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ TFEX ทองคำ มาร์จิ้น และเพราะอะไรถึงชอบ พร้อมกับแชร์ทริคการเทรด
เพจ หุ้นไรไม่บอก : 95% เป็นหุ้นไทย เพราะคิดว่าส่วนตัวมี Edge มากกว่า ทำให้สนใจมากกว่า และความรู้ในการะประเมินหรือวิเคราะห์ที่มีมากกว่าหุ้นต่างประเทศ หุ้นไทยมองเห็นง่ายกว่า สามารถวิเคราะห์ได้ง่ายกว่า ส่วนอีก 5% ที่เหลือ นำไปลงทุนใน Cryptocurrency
ความเชื่อที่ว่า “หุ้นเป็น Passive Income ที่สามารถสร้างอิสรภาพทางการเงิน” มีความคิดเห็นเกี่ยวกับความเชื่อนี้อย่างไร?
เพจ หุ้นเปลี่ยนโลก : แล้วแต่หุ้น บางตัวก็มีโอกาส แต่ก็มีความเสี่ยง เนื่องจาก ไม่มีบริษัทไหนที่จะอยู่ไปตลอดกาลแล้วสามารถจ่ายได้เรื่อย ๆ ทั้งนี้ มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง ขึ้นอยู่กับความขยันและความพยายามของเราในการหาหุ้น การทำการบ้านหาหุ้น ติดตามหุ้น เพราะความพยายามอัปเดท หรือติดตามหุ้นไปเรื่อย ๆ อาจจะไม่ใช่ Passive ยังเป็น Active Income อยู่ดี
เป้าหมายของการลงทุนของท่านคืออะไร?
เพจ VI เพื่อชีวิต : อิสรภาพทางการเงินขึ้นอยู่กับบุคคล และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแต่ละช่วงวัยเกี่ยวกับความรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ซึ่งแต่คน แต่ละช่วงวัยก็จะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับภาระของตนเอง
เก็บก่อนใช้หรือใช้ก่อนเก็บ? ถ้าเก็บเงินควรเก็บเป็นจำนวนกี่ % ของรายได้? และการหาเงินจากรายได้หลายทาง ยังจำเป็นอยู่ไหม? หรือควรโฟกัสแค่รายได้ทางเดียวไปเลย?
เพจ หุ้นไรไม่บอก : ขึ้นอยู่กับสถานะทางการเงินของแต่ละคน เข้าใจสถานะทางการเงินก่อน โดยการทำบัญชีรายรับรายจ่าย ปิดรูรั่วค่าใช้จ่าย แล้วเก็บเงินเพื่อนำไป re-invest และควรมีการจัดสรรเวลา เพื่อหารายได้จากหลากหลายช่องทาง
EDGE ที่นักลงทุนควรจะมีคืออะไร?
เพจ หุ้นเปลี่ยนโลก : ความเชื่อมั่นในหลักการ ความอึด ความอดทน และไม่ยอมแพ้เพื่อให้อยู่ครบทุกสภาวะของตลาด
6. ขุดหุ้นแต่หัววัน สไตล์ LIB และ Excel อาวุธคู่กายนักลงทุน สำหรับผจญภัยกับตลาดในปี 2024
คุณจรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ - นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด
วิธีการทำการบ้านเพื่อหาหุ้นในช่วงเวลาต่าง ๆ ของน้าแดง
วิธีที่ 1 คือ Top-Down Analysis จากบนลงล่าง
เป็นกระบวนการที่หาหุ้น โดยไล่จากการวิเคราะห์ภาพเศรษฐกิจมหภาคของต่างประเทศรวมถึงไทย แล้วตีกรอบไปเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้โดดเด่น และหาหุ้นที่มีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ใช้หลักการพิจารณาพื้นฐานหุ้นรายตัว และการอ่านงบการเงินเพื่อหา Valuation
วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้เวลา และข้อมูลค่อนข้างมากกว่าจะเจอหุ้นที่ดี และราคาหุ้นอาจจะวิ่งไปแล้ว
วิธีที่ 2 คือ Bottom-Up Analysis การหาหุ้นจากล่างขึ้นบน
วิธีนี้ใช้เวลาไม่มาก กรองหุ้นได้เร็ว โดย Indicator ที่ง่ายสุดคือการดู Pattern ของกำไรที่เปลี่ยนไปในเชิงบวก เช่น กำไรขยายตัวติดต่อกัน 4 ไตรมาส ซึ่งอาจสะท้อนถึงพัฒนาการในเชิงบวก บ่งบอกถึงพัฒนาการพิเศษ เช่น มีสินค้าใหม่ , มีกำลังการผลิตใหม่ , มีการขึ้นราคาสินค้า , ได้ลูกค้าใหม่ , คำสั่งการผลิตใหม่
เมื่อได้รายชื่อหุ้นมาแล้ว นำเรื่อง Technical มาพิจารณาว่าหุ้นอยู่ในโซนที่ได้เปรียบหรือไม่ โดยหุ้นที่อยู่ในโซนล่างจะน่าสนใจ พิจารณารายอุตสาหกรรมของหุ้นตัวนั้น ว่ามีอุปสรรค หรือมีประเด็นหนุนต่อหรือไม่
สุดท้ายจะเป็นการนำหุ้นตัวนั้นไปวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการประเมินมูลค่าหุ้นควบคู่ไปกับการฟัง OPP DAY และการไป Company Visit เพื่อเช็คโมเมนตัมของ Pattern นี้ว่ายังมีอยู่ต่อหรือไม่
สามารถดาวน์โหลดชุดหุ้นการบ้านของน้าแดง เพื่อนำไปเปรียบเทียบในมุมมองกราฟ ในจุดซื้อที่ได้เปรียบและตลาดยังไม่สนใจ ได้ที่ https://onelink.to/shfinale
7. เจาะ Indicator ลับ ใน TradingView ด้วย LIB FOR PC
คุณอภิวัฒน์ ทวีศิริเวทย์ - นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด
โค้ชบาสได้นำเสนอการใช้ Indicator ใน TradingView ด้วย LIB FOR PC อย่างชาญฉลาด โดยลดการใช้งาน Indicator ที่คล้ายกันมาใช้ร่วมกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการแสดงผล ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจ เช่น EMA กับ MACD (ที่มาจาก EMA12 และ EMA 26), CCI กับ RSI เป็นต้น
โดยสามารถแบ่ง Indicators ออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่
Trend Indicators: วัดแยกแยะแนวโน้ม เช่น MACD, Parabolic SAR
Momentum Indicators: ใช้วัด Overbought/Oversold เช่น RSI, CCI, Stochastic
Volume Indicators: วัดปริมาณการซื้อขายต่างๆเช่น OBV, Chaikin Money Flow, Force Index, Money Flow Index
Volatility Indicators: วัดความผันผวน เช่น Bollinger Bands, Average True Range
“การใช้งาน Volume Profile/ Volume by price”
เป็นเครื่องมือแสดงถึงการคำนวณ Volume ในแต่ละช่วงราคา โดยจะแสดงในฝั่งขวามือ เทียบกับแต่ละราคา มักถูกใช้ดูแนวรับ แนวต้าน เนื่องจากเป็นจุดราคาที่สำคัญ เพราะมีปริมาณ Volume มาก
เช่น การนำ Volume Profile แสดงจุดขาย กรณีใช้เป็นแนวต้าน เพราะมีโอกาสจะชน Point of Control หรือ จุดที่มีปริมาณวอลุ่มเยอะที่สุด
ทั้งนี้ต้องนำ Indicator อื่น ๆ มาประกอบกับ การดู Price Pattern และ นำมาปรับใช้กับกลยุทธ์ในการเทรด
“การใช้งาน Fixed Range Volume Profile” เป็นลักษณะการดู Volume Profile เช่นกัน แต่เป็นการ Fixed ช่วงราคาในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
8. สภาพตลาดในปี 2023 และการเตรียมรับมือกับตลาดในปี 2024
คุณวัชระ แก้วสว่าง (เสี่ยป๋อง) และ คุณมานิตย์ ศรายุทธิกรณ์ (คุณเบิร์ท): Full-Time Traders
คงไม่ใช่แค่พวกเราเหล่านักลงทุนที่มองว่าปีนี้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างยาก เพราะพี่ป๋องและพี่เบิร์ทต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสถานการณ์ในปีนี้ค่อนข้างยากเช่นกัน เนื่องจากการปรากฎตัวของ Robot Trade และ เครื่องมือในการเทรดที่เข้ามาในตลาดเรื่อย ๆ รวมไปถึง Volume ตลาดและความเชื่อมั่นที่หายไปจากนักลงทุนต่างชาติ
สอบถามพี่ป๋องและพี่เบิร์ทว่า ตลาดหุ้นไทยยังน่าลงทุนอยู่ไหม?
“ตลาดไทยยังคงมีความน่าสนใจในการลงทุน เพราะ อยู่ใกล้ตัวและยังพอมีความรู้ ความมั่นใจในตลาดไทยที่มากกว่าการไปลงทุนต่างประเทศ แต่อาจจะปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เน้นเป็นสายพื้นฐานมากขึ้น หรือ การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการเทรด กลยุทธ์รายวันอาจจะถูกนำมาใช้น้อยลง แต่ยังคงใช้กราฟนำเพื่อหาหุ้นก่อนและนำพื้นฐานมาจับเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการถือ” เสี่ยป๋อง กล่าวภายในงาน LIB Talks Finale 2023
ขณะเดียวกันนั้น คุณเบิร์ทมองว่า “โลกยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จึงโยกเงินบางส่วนไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่มองว่ามีโอกาสมากกว่า เนื่องจากตลาดอเมริกาเป็นตลาดที่ใหญ่ และมีความเป็นเทรนด์ขาขึ้นมากกว่า และในช่วงปลายปีนี้ เริ่มมีการจับหุ้นพื้นฐานที่ดีเข้ามาช่วยและใช้ระยะเวลาในการถือหุ้นที่ยาวนานขึ้น มีการแบ่งเวลาไปดูข่าว และมองหาหุ้นเติบโตในระยะยาว มี Story ช่วยเลือกหุ้นก่อน”
ไอเดียในการลงทุนในปีมังกรทอง 2024
เสี่ยป๋อง มองว่า “ปีหน้าอาจจะมีโอกาสที่ตลาดจะกลับตัวเนื่องจาก ตลาดไทยไม่เคยลงติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2 ปีติดต่อกัน กลยุทธ์ทางเทคนิคในการดูกราฟยังคงใช้ MACD Timeframe Month เข้ามาช่วยวิเคราะห์”
ทางด้านคุณเบิร์ท มองกลยุทธ์ในปีหน้าว่า "ตอนนี้ที่ตลาดไทยอาจจะอยู่ในโซนเงียบ วอลุ่มน้อย มองว่าเป็นจุดต่ำสุดที่มีโอกาสกลับตัวในปีหน้า ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของรัฐบาล นโยบายส่งเสริมต่าง ๆ ที่จะช่วยผลักดันให้เม็ดเงินกลับมาซื้อหุ้นไทย เน้นการซื้อแบบ Selective Buy และถือยาวขึ้นโดยใช้พื้นฐานมาช่วยคัดเลือกหุ้น และเริ่มหันมาสนใจเทรดทองมากขึ้น”
ช่วงนี้ที่ตลาดมีลักษณะซึมลงเรื่อยๆ หรือ Sideway Down เด้งเพื่อลงต่อ เมื่อไหร่ที่ควรจะมองว่าเป็นจังหวะกลับตัวของตลาดและใส่ Position การเทรดจำนวนเท่าเดิม
มองหา Fund Flow ช่วงจังหวะที่เงินจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้ออย่างมีนัยยะสำคัญ ดูภาพใหญ่ หรือมองหามาตรการที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับมามีความน่าสนใจ สุดท้ายยืนยันด้วยการปรับเป้าของธนาคารใหญ่ ๆ ในต่างประเทศที่เริ่มเล็งเห็น ว่า Valuation ของตลาดหุ้นไทยน่าสนใจและเริ่มมี Upside ของผลตอบแทน
พิจารณาปัจจัยระดับมหภาค เช่น ดอกเบี้ย และเงินเฟ้อที่เริ่มลดลง ทำให้ดอกเบี้ยที่เคยขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงจุดสูงสุดและมีการปรับตัวลง ดังนั้นจะทำให้ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความน่าสนใจในเรื่องผลตอบแทนที่มากขึ้น
สุดท้ายพิจารณา Volume ตลาดหุ้นที่กลับมาใกล้เคียงเดิมที่ 50,000-60,000 ล้านบาท อาจจะเป็นสัญญาณที่ตลาดหุ้นเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น
อย่าลืมกดติดตามทุก ๆ งานอีเวนต์และเนื้อหาการลงทุนที่น่าสนใจได้ที่เพจ Liberator Securities
#LIBTalksFinale2023 #Liberator #โลกลงทุนที่ทุกคนเท่ากัน
𝗘𝗾𝘂𝗮𝗹𝗶𝘁𝘆 𝗳𝗼𝗿 𝗮𝗹𝗹.