xs
xsm
sm
md
lg

(รับชมคลิป) หุ้นค้าปลีกเติบโตจำกัด เมินรัฐออกมาตรการกระตุ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประเมินทิศทางหุ้นกลุ่มค้าปลีกมีโอกาสเติบโตจากมาตรการ "Easy e-Receipt" ของภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่าย เพื่อใช้ลดหย่อนภาษี กลุ่มร้านค้าขนาดใหญ่ สินค้าราคาสูงได้ประโยชน์ ขณะกลุ่มสินค้าตกแต่งบ้านยังเติบโตจำกัด เหตุการบริโภคในประเทศยังมีความเสี่ยงสูง ประชาชนลดใช้จ่ายฟุ่มเฟือย 

หลังจากประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2566 มีมติเห็นชอบมาตรการ "Easy e-Receipt" ที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินจำนวน 50,000 บาท แก่ผู้ที่ซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.2567 รวมเวลา 46 วัน

โดยใช้ใบกำกับภาษีเต็มรูปในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร ยกเว้นการซื้อสินค้าหรือบริการ 3 รายการ ที่ไม่ต้องซื้อจากผู้ประกอบการที่จด VAT ก็ได้ ประกอบด้วย

1) ค่าหนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร

2) ค่าบริการหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และ

3) ค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว

ขณะเดียวกัน ค่าสินค้าหรือค่าบริการที่สามารถหักลดหย่อนได้จะไม่รวมถึง

(1) ค่าซื้อสุรา เบียร์ และไวน์

(2) ค่าซื้อยาสูบ

(3) ค่าซื้อรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ

(4) ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ

(5) ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าบริการสัญญาณโทรศัพท์ ค่าบริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต และค่าบริการสำหรับบริการที่มีข้อตกลงการให้บริการระยะยาว ซึ่งเริ่มต้นก่อนและหลังช่วงเวลาที่ดำเนินมาตรการ และ 

(6) ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย

สิ่งที่น่าสนใจต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้คือ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ตั๋วเครื่องบินต่างๆ สามารถใช้ได้ถ้าเข้าตามเงื่อนไข คือ ผู้ประกอบการมีการออกใบกำกับอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งช่วงนี้กรมสรรพากรมีการเปิดให้ผู้ประกอบการมายื่นได้

ทั้งนี้ คาดว่าการลดหย่อนภาษีเงินได้จากการซื้อสินค้าและบริการที่ให้วงเงิน 50,000 บาท จะสามารถช่วยกระตุ้นการจับจ่ายและเศรษฐกิจได้มากพอควร โดยเฉพาะการกระตุ้นการจับจ่ายของกลุ่มคนที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การกำหนดมาตรการโดยเริ่มต้นในเดือนมกราคม-กลางกุมภาพันธ์ หรือประมาณ 46 วัน อาจจะเป็นช่วงเวลาไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคนัก ทำให้ภาคเอกชนเริ่มคาดหวังว่ามาตรการดังกล่าวจะสามารถเพิ่มระยะเวลาออกไปได้อีก โดยเฉพาะช่วงเดือน เม.ย.2566 ที่มีเทศกาลสงกรานต์

สินค้าฟุ่มเฟือยได้ประโยชน์

ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายเชื่อว่ามาตรการ Easy e-Receipt ที่ ครม.เห็นชอบน่าจะเป็นบวกต่อกลุ่มค้าปลีก แต่จะส่งผลดีมากกว่าต่อบริษัทที่ขายสินค้าที่มีมูลค่าสูง เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยมากกว่าสินค้าจำเป็น และจากวงเงินค่าใช้จ่ายต่อร้านที่ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะกรอบระยะเวลาการใช้จ่ายเพียง 1 เดือนครึ่ง ทำให้หุ้นที่น่าจะได้อานิสงส์ ได้แก่ COM7, HMPRO, CRC, CPN

โดยมาตรการดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับมาตรการของรัฐบาลก่อน เช่น ช้อปดีมีคืน ช็อปช่วยชาติ ซึ่งให้วงเงินลดหย่อนภาษี 40,000 บาท ขณะที่โครงการใหม่นี้ให้วงเงิน 50,000 บาท ทำให้คาดว่าจะช่วยให้เกิดเงินสะพัดได้ราว 100,000-200,000 ล้านบาท และมีผลต่อจีดีพีประมาณ 0.54-1.09%

พบสัญญาณฟื้นตัวยังน้อย

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด ประเมินทิศทางธุรกิจหุ้นในกลุ่มค้าปลีก ตั้งแต่เริ่มไตรมาสสุดท้ายของปีตัวเลขต่อสาขายังไม่โดดเด่น อย่างไรก็ตาม ยังมีความหวังสูงสำหรับเดือนธันวาคม โดยพบว่าสัญญาณการฟื้นตัวของการเติบโตของยอดขายต่อสาขาเดิม (SSSg) รายไตรมาสยังคงไม่เพียงพอ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน แม้ว่าฐานที่ต่ำสำหรับบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่น GLOBAL และ DOHOME ท่ามกลางอุปสงค์โดยรวมที่ชะลอตัว

ขณะที่ยอดขายจากสาขาที่เชื่อมโยงกับกรุงเทพฯ ยังไม่เห็นการปรับปรุง SSSg สำหรับ HMPRO และ CRC ยังคงแสดงการเติบโตที่จำกัดเนื่องจากปีที่แล้วมีฐานที่ค่อนข้างสูง ทำให้ยังคงรอดูข้อมูลของเดือนธันวาคมต่อไป แต่เน้นถึงศักยภาพที่จำกัดสำหรับการเติบโตที่แข็งแกร่งใน SSSg

ดังนั้น หุ้นภายใต้การวิเคราะห์แม้ว่าฐานที่ต่ำกว่าปีที่แล้วอย่าง GLOBAL และ DOHOME ก็ยังถูกกดดันจากราคาเหล็ก โดยSSSg ตั้งแต่เริ่มไตรมาสสุดท้ายของ GLOBAL อยู่ที่ -12% เป็นผลการดำเนินงานติดลบต่อจากไตรมาส 3/66 หากไม่รวมผลกระทบจากเหล็ก SSSg โดยรวมควรอยู่ใกล้ -6% บนพื้นฐาน

ขณะที่ตั้งแต่ต้นไตรมาสสุดท้าย SSSg ของ DOHOME อยู่ที่ -3% ซึ่งดีขึ้นจาก -7% ในไตรมาส 3/66 ผลการดำเนินงานกลับมาเป็นบวก แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในปีที่แล้ว (SSSg ไตรมาส 4 ปี 65 อยู่ที่ -9.3%) หากไม่รวมผลกระทบจากราคาเหล็ก SSSg เฉลี่ยของ DOHOME ก็กลับมาเป็นบวกที่ 4% อย่างไรก็ตาม คาดว่าทั้ง DOHOME และ GLOBAL จะเห็นผลกระทบ SSSg โดยเฉลี่ยจากเหล็กที่ -9-10%

ทั้งนี้ ประเมินว่า HMPRO ดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน ขณะที่ไทวัสดุเห็นจุดอ่อนอยู่บ้าง ส่วน HMPRO ยังคงอ่อนแอแม้จะได้รับการสนับสนุนจากงาน Homepro expo การดำเนินงานใกล้จะถึง -4% โดยมีส่วนสนับสนุนคงที่จากมาเลเซีย ทำให้ SSSg โดยรวมอยู่ใกล้ -3% และ hardline สำหรับ CRC รวมทั้งไทวัสดุก็ติดลบเช่นกันที่ -1% ถึง -2% โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ที่ย่ำแย่

อย่างไรก็ตาม สังเกตว่า CRC นั้น SSSg รวมของเดือนพฤศจิกายนมาในรูปแบบทรงตัวเมื่อเทียบปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนเชิงบวกจากแฟชั่น ทั้งนี้ ฐานของ CRC จากไตรมาส 4 ปี 65 อยู่ในระดับสูง ทำให้การเติบโตในไตรมาสนี้ทำได้ยาก บริษัทควรเห็นการมีส่วนร่วมจากกิจกรรม Black Friday

สำหรับความกังวลหลักของนักลงทุนสำหรับกลุ่มวัสดุก่อสร้างคือ การประเมินมูลค่าและการแข่งขัน การเติบโตในระยะยาวยังคงไม่แน่นอนเนื่องจากการชะลอตัวของกำลังซื้อโดยเฉพาะในเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ บล.ทิสโก้เพิ่งอัปเกรด HMPRO หลังจากที่ราคาหุ้นลดลงอย่างมาก โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ HMPRO ซึ่งมูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 14.70 บาท โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นสำหรับ MEGAHOME และช่องว่างด้านประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเทียบกับร้านโฮมโปรเนื่องจากการประหยัดต่อขนาดดีขึ้น

ส่วน CRC ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 49.00 บาท เนื่องจากมีแนวโน้มแข็งแกร่งในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากฤดูกาล ขณะที่ GLOBALและ DOHOME ยังคงแนะนำ “ถือ” โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 17.00 และ 8.00 บาท ตามลำดับ เนื่องจากแนวโน้มผลการดำเนินงาน SSSg ที่อ่อนแอ แม้ว่าฐานจะต่ำกว่าไตรมาส 4 ปี 2565 ก็ตาม

คาดเงินจับจ่าย 1.75 แสนล้าน

ด้าน บล.ดาโอ ประเมินทิศทางกลุ่มค้าปลีกว่า จากกรณี ครม.เคาะ “Easy e-Receipt ซื้อสินค้า-บริการ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 5 หมื่นบาท” เพื่อเป็นการสนับสนุนการบริโภคในประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีให้ใช้ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์

นั่นทำให้ประเมินว่ากลุ่มสินค้า Electronics และ Basket size ใหญ่ได้ประโยชน์โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า IT กลุ่ม Home product และห้างสรรพสินค้าที่มีขนาด basket size ใหญ่จะได้ประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากผู้ที่คาดว่าจะใช้สิทธินี้เป็นผู้มีรายได้ระดับกลางขึ้นไป และไม่เข้าเกณฑ์ของ Digital wallet 1 หมื่นบาท (รายได้รวมไม่เกิน 70,000 บาทต่อเดือน และมีเงินเก็บไม่เกิน 500,000 บาท) 

เนื่องจากประเมินว่าผู้ที่มีรายได้เกิน 70,000 บาทต่อเดือน อยู่ที่ 1.3 ล้านคน และผู้ที่มีเงินในบัญชีรวมทุกบัญชีเกิน 500,000 บาท อยู่ที่ 3.5 ล้านคน ดังนั้น หากทุกคนใช้สิทธิมาตรการ 50,000 บาทนี้ จะมีเงินจับจ่ายใช้สอยในช่วงวันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ.2567 อยู่ที่อย่างน้อย 175,000 ล้านบาท

ดังนั้น การลงทุนในหุ้นกลุ่ม Commerce ยังคงน้ำหนัก "Overweight" โดยหุ้นที่จะได้รับประโยชน์สูงที่สุดเรียงจากมากไปน้อยได้แก่ COM7 (30.00 บาท) HMPRO (16.30 บาท) CRC (48.00บาท) และ CPN (82.00 บาท)

การบริโภคในประเทศยังมีความเสี่ยง

เช่นเดียวกับ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า การบริโภคในประเทศปี 2567 มีความเสี่ยงสูงแม้ได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัว รวมถึงอัตราการว่างงานลดลงใกล้เคียงกับระดับก่อนโควิด ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ

นั่นเพราะการเติบโตของกลุ่มค้าปลีกยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจาก 1) หนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงสถานการณ์ภัยแล้ง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก “เท่ากับตลาด” โดยชอบกลุ่มสินค้ำอุปโภคบริโภคและห้างสรรพสินค้ามากกว่ากลุ่มวัดดุก่อสร้าง เนื่องจากปีหน้าเศรษฐกิจของไทยยังมีความเสี่ยงอยู่รอบตัว หากเศรษฐกิจเกิดชะลอตัวมากกว่าที่คาด และกระทบต่อกำลังซื้อ

นั่นเพราะการเติบโตของกลุ่มค้าปลีกยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจาก 1) หนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงสถานการณ์ภัยแล้ง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก “เท่ากับตลาด” โดยชอบกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและห้างสรรพสินค้ามากกว่ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากปีหน้าเศรษฐกิจของไทยยังมีความเสี่ยงอยู่รอบตัว หากเศรษฐกิจเกิดชะลอตัวมากกว่าที่คาด และกระทบต่อกำลังซื้อ

เนื่องจากผู้บริโภคจะลดการจับจ่ายใช้สอยโดยเฉพะสินค้าฟุ่มเฟือย แต่ยังคงจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดย Top Pick แนะนำ CPALL (74.00) คาดกำไรไตรมาส 4 ปี 2566 เติบโตทั้งเทียบไตรมาสก่อนและปีก่อน โดยคาดรายได้เติบโตได้ดีจากทั้งธุรกิจค้าปลีก และค้าส่ง ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านต้นทุนลดลงตามค่าไฟ และดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลัง CPAXT รีไฟแนนซ์เงินกู้เสร็จ ส่วนปี 2567 คาดกำไรอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขี้น 15.3% เทียบปีก่อน )

โดยปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ 1) ธุรกิจ CVS เติบโตต่อเนื่อง 2) ทนทานต่อสภาวะดอกเบี้ยที่สูงเนื่องจำกมีความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยต่ำ 3) CPAXT ฟื้นตัวส่งผลให้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้น 4) Valuation ไม่แพง

หวังปี 67 หลายธุรกิจฟื้นตัว

ส่วนภาพลงทุนหุ้นไทยในปี 2567 หลายฝ่ายคาดหวังเป็นจะเห็นการเติบโตในทุกหมวดธุรกิจ เนื่องจากหลายฝ่ายเชื่อว่าหลายฟันเฟืองเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัว ทั้งการลงทุน-การส่งออกยังเป็นบวกได้ และนักท่องเที่ยวน่าจะมีโอกาสทะลุ 30 ล้านคน และปีถัดไปแตะ 40 ล้านคนเท่าระดับปกติ ซึ่งช่วยหนุนจีดีพีไทยปี 2567 เติบโตระดับ 3% จากปีนี้โต 2.8% ซึ่งเป็นจุดดึงดูดความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น เมื่อเทียบประเทศพัฒนาแล้วคาดจีดีพีโต 1.1% เพราะมีความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอย 

ทั้งนี้ ปัจจัยดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปี2567 มีโอกาสเติบโตระดับ 10% ขึ้นไป ซึ่งคาดการณ์กำไร บจ. เติบโต 13% ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นไปแตะระดับ 1,628 จุด ขณะที่การซื้อขายหุ้นไทยตอนนี้อยู่ระดับ 1,400 จุด และ P/E 17 เท่า ซึ่งทำให้ราคาหุ้นไทยตอนนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง ถือว่าตอนนี้ราคาหุ้นไทยจึงเป็นจุดน่าสนใจลงทุนมาก

ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนแนะนำเน้นเลือกหุ้นที่มีราคาหุ้นอยู่โซนล่าง โดยราคายังไม่ปรับขึ้นมาก หรือหุ้นที่มีสัดส่วนการถือครองน้อยและเริ่มมีสัญญาณโตในปีหน้า หรือมีการแก้ไขปัญหารอจังหวะความเชื่อมั่นฟื้นกลับมา รวมถึงแนวโน้มกำไรมีทิศทางฟื้นตัวได้ ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก (CPALL) กลุ่มไฟแนนซ์ (SAWAD, MTC) กลุ่มพลังงาน (GPSC) กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA) กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA) และกลุ่ม J-Group (JMART, JMT) รับปัจจัยหนุนต่างๆ






กำลังโหลดความคิดเห็น