อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป ตั้งเป้าปีบัญชี 66/67 (เม.ย.66-มี.ค.67) ยอดขายเติบโต 10% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 31-33% ภายใต้สถานการณ์โลกปัจจุบันที่มีความเสี่ยงรอบด้าน เตรียมแผนรองรับกับความไม่แน่นอนที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานเพื่อให้การดำเนินธุรกิจราบรื่น ด้านบอร์ดอนุมัติจ่ายปันผลหุ้นละ 0.12 บาท และกำหนดจ่าย 8 ธ.ค.นี้
รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG แจ้งผลงานไตรมาส 2 ปีบัญชี 66/67(ก.ค.-ก.ย.66) บริษัทมียอดขายนิวไฮที่ 3,299 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 32.7% ได้รับส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ 170 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิที่ 434 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน ปีบัญชี 66/67 (เม.ย.-ก.ย.66) บริษัทมีรายได้จากการขาย 6,285 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้จากการขาย 6,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.1% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 32.2% และมีกำไรสุทธิ 744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยปีบัญชี 66/67 (เม.ย.66-มี.ค.67) บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโต 10% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 31-33% ซึ๋งช่วงครึ่งหลังของปีบัญชีนี้จะเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้ แม้ว่าสถานการณ์โลกในปัจจุบันอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนและเผชิญกับความเสี่ยงในหลายด้าน ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และออสเตรเลีย ปัญหาสงคราม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกัน EPG เตรียมแผนรองรับกับความไม่แน่นอนต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานเพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น
สำหรับธุรกิจฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex ด้วยความพร้อมด้านการผลิตจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของ Aeroflex USA Inc. สหรัฐอเมริกา ประกอบกับสภาวะการแข่งขันขณะนี้ไม่รุนแรงนัก ส่งผลให้ฉนวน Aeroflex เป็นที่นิยมมากขึ้น และสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มลูกค้าขายส่ง และกลุ่มลูกค้าโครงการ ได้แก่ EV/Semiconductor และอาหาร เป็นต้น โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2566 ได้ออกสินค้าใหม่ Ultralow smoke ซึ่งนำไปใช้ในระบบ Air Ducting system เป็นฉนวนยางผลิตจากวัสดุคุณสมบัติพิเศษก่อให้เกิดควันน้อย ซึ่งเริ่มมีกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า สำหรับตลาดในประเทศได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศและสร้างโรงงานผลิตใหม่ จึงทำให้มีกลุ่มลูกค้าโครงการเพิ่มขึ้น ประกอบกับ Aeroflex มีสินค้านวัตกรรมอื่นๆ ที่ใช้ในระบบวิศวกรรมปรับอากาศ จึงตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้ครอบคลุม สำหรับในญี่ปุ่น ฉนวนยาง Aeroflex กลุ่มพรีเมียมยังคงเป็นที่ต้องการของตลาด
ขณะที่ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas ในไตรมาสที่ 3 ปีบัญชี 66/67 (ต.ค.-ธ.ค.66) ยอดขายปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาด อีกทั้งสินค้าหลัก ได้แก่ สินค้าประเภทหลังคาครอบกระบะ (Canopy) บันไดข้างรถกระบะ (Slide Step) มีคำสั่งซื้อจากค่ายยานยนต์อย่างต่อเนื่อง
ส่วนธุรกิจในออสเตรเลีย Aeroklas Asia Pacific Group Pty. Ltd. ออสเตรเลีย ได้ซื้อกิจการร้านค้าปลีก TJM ต่อจาก Franchisee รวม 5 แห่ง ในออสเตรเลีย มูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ 117 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นร้านค้าสาขา TJM (Corporate Store) ทำให้ปัจจุบัน TJM มีร้านค้าสาขารวม 12 แห่ง ซึ่งเป็นไปตามแผนธุรกิจที่ตั้งเป้าหมายภายใน 2 ปีบัญชีจะมีร้านค้าสาขา TJM รวมทั้งสิ้น 15 แห่ง โดยจะเร่งให้เกิด synergy ในกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ในออสเตรเลีย
ทั้งนี้ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกภายใต้แบรนด์ EPP ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และการจับจ่ายใช้สอยช่วงปลายปีที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม EPP ได้ปรับกลยุทธ์การตลาดเน้นเจาะตลาดกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคตะวันออก เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มดังกล่าว นอกจากนี้ โรงงานผลิตถ้วยกระดาษ EPP ที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างครบวงจรนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ ได้รับการรับรองมาตรฐาน FSC (Forest Stewardship Council) และ BRC : British Retail Consortium มาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ใส่อาหาร จึงมั่นใจได้ว่าบรรจุภัณฑ์ถ้วยกระดาษ EPP เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากป่าปลูกเชิงพาณิชย์ หรือป่าที่มีการจัดการดูแลอย่างรับผิดชอบ
สำหรับการลงทุนในธุรกิจร่วมทุนซึ่งตั้งอยู่ในหลายประเทศ ได้แก่ ไทย จีน อินเดีย และแอฟริกาใต้ โดยบริษัทลงทุนในกลุ่มธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น และกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งยานยนต์นั้น คาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปีบัญชีนี้จะได้รับส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของธุรกิจเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกิจการร่วมค้าในแอฟริกาใต้ยังคงต้องรอความคืบหน้าจากค่ายยานยนต์ซึ่งเป็นลูกค้าหลัก
รศ.ดร.เฉลียว กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 10 พ.ย.66 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด 30 ก.ย.66 ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท (สิบสองสตางค์) โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 28 พ.ย.66 และ กำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 ธ.ค.66