หุ้นไทยปิดร่วงต่อเนื่อง -1.09 จุด นักวิเคราะห์เผยผลประกอบการ บจ.ออกมาต่ำกว่าคาด ทำนักลงทุนผิดหวัง โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้จะมีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงานและโรงกลั่นเข้าหนุนดัชนี ประเมินกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้แนวรับที่ 1,375 จุด และแนวต้านที่ 1,400 จุด แนะจับตาตัวเลขดัชนีเงินเฟ้อสหรัฐหรือ CPI ที่จะประกาศออกมาในคืนนี้
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 14 พ.ย. 2566 ปรับตัวลดลง -1.09 จุด หรือ -0.08% โดยปิดตลาดที่ 1,386.04 จุด มูลค่าซื้อขาย 47,578.86 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวลงกว่าภูมิภาคเล็กน้อย โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,393.20 จุด ในทิศทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,377.69 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 202 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 161 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 281 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -189.71 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า +4.98 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +9.68 ล้านบาท และ บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +175.05 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,723.08 ล้านบาท ปิดที่ 33.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
2.HANA มูลค่าการซื้อขาย 2,381.35 ล้านบาท ปิดที่ 44.25 บาท ลดลง 6.75 บาท
3.BBL มูลค่าการซื้อขาย 2,124.55 ล้านบาท ปิดที่ 152.50 บาท ลดลง 1.50 บาท
4.BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,631.20 ล้านบาท ปิดที่ 25.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
5.COM7 มูลค่าการซื้อขาย 1,529.98 ล้านบาท ปิดที่ 22.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.PTTEP ปิดที่162.00บาท เพิ่มขึ้น 2.00บาท หรือ 1.25%
2. BCPปิดที่43.75บาท เพิ่มขึ้น 1.75บาท หรือ 4.17%
3.JMT ปิดที่25.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.15บาท หรือ 4.77%
4.TOP ปิดที่48.75บาท เพิ่มขึ้น 1.25บาท หรือ 2.63%
5.OR ปิดที่ 19.20บาท เพิ่มขึ้น 1.10บาท หรือ 6.08%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.HANA ปิดที่44.25บาท ลดลง 6.75บาท หรือ 13.24%
2.CBG ปิดที่71.00บาท ลดลง 4.75 บาท หรือ 6.27%
3.EA ปิดที่42.25บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 4.52%
4.ADVANC ปิดที่ 223.00 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 0.89%
5.BH ปิดที่ 227.00บาท ลดลง 2.00บาท หรือ 0.87%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 1,900.60 จุด ลดลง -2.03 จุด หรือ -0.11% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 860.71 จุด ลดลง -0.68 จุด หรือ -0.08% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 387.85 จุด เพิ่มขึ้น 1.55 จุด หรือ 0.40%
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ Underperform เมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาค เนื่องจากการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียนบางบริษัทออกมาต่ำกว่าคาด อาทิ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และแนวโน้มในอนาคตยังไม่ดี เนื่องจากสต็อกสินค้าของลูกค้ายังสูง อาจส่งผลให้ไตรมาส 4/66 ผลประกอบการอาจยังทรงตัว อย่างไรก็ตาม มีแรงซื้อจากกลุ่มพลังงานและโรงกลั่นสลับเข้ามาหนุนได้บ้าง
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังแถลงข้อสรุปหลักเกณฑ์มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งกองทุน Thailand ESG Fund ส่งผลให้ดัชนีช่วงบ่ายปรับลง เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังเงื่อนไขวงเงินลงทุนไม่เกิน 100,000 บาท/ราย น้อยกว่าที่ตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ 200,000-300,000 บาท/ราย
ขณะที่วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/66 ส่งผลให้ระยะ 1-2 วันนี้นักลงทุนต้องติดตาม Valuation ของปีหน้าว่าหุ้นกลุ่มไหนยังไปต่อได้
"จากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาล ทั้งการจัดตั้งกองทุน TESG ออกมาหนุนตลาดทุน มองว่าที่ระดับแนวรับ 1,375 จุดค่อนข้างมีความสำคัญมาก ถ้าภายใน 1-2 วันนี้ยังอยู่ในระดับนี้ ยังมีลุ้นพลิกกลับขึ้นมาแนวบวกได้ที่ 1,400 จุด โดยหุ้นที่ได้รับประโยชน์ อาทิ กลุ่มธนาคาร ท่องเที่ยว และนิคมอุตสาหกรรม จากการสนับสนุนของภาครัฐ รวมทั้งกลุ่มค้าปลีก ซึ่งได้รับอานิสงส์จากมาตรการ E-Refund ที่จะกระตุ้นการจับจ่ายในช่วงต้นปี 67" นายศราวุธ กล่าว
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้ ประเมินว่าตลาดยังทรงตัว โดยคืนนี้นักลงทุนรอติดตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐ หากตัวเลข Core CPI ออกมาทรงตัวตามคาดที่ 4.1% คงไม่มีผลกับตลาดมากนัก โดยให้กรอบแนวรับ 1,375 จุดและแนวต้าน 1,400 จุด