เม็ดเงินยังไหลออกตลาดหุ้นไทย เช่นเดียวกับตลาดอื่นในเอเชีย หลังการส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยระดับสูงของธนาคารสหรัฐทำป่วน หนำซ้ำถูกกดดันจากสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ สวนทองคำและน้ำมันปรับตัวเพิ่ม โบรกฯหวั่นสงครามยืดเยื้อและบานปลาย ฉุดภาพรวมระยะยาวสู่ขาลง พร้อมยก PTTEP โดดเด่น เหตุได้อานิสงส์ราคาน้ำมันขยับเพิ่ม อีกทั้งธุรกิจกำลังฟื้นตัว
ช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นไทยอยู่ในขาลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วงเดือนกันยายนที่ลามมาเดือนตุลาคมนี้ จนดัชนีหลักทรัพย์ลดลงมาต่ำสุดถึงระดับ 1,471.43 จุด และสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศที่ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (11ต.ค.66) ขนเงินออกไปแล้ว 1.61 แสนล้านบาท
นั่นเพราะนอกจากสถานการณ์การคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)เพียงอย่างเดียว แต่ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญปัจจัยกดดันใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น นั่นคือ ผลจากการที่อิสราเอลกำลังทำสงครามกับกลุ่มติดอาวุธฮามาสของปาเลสไตน์
โดยหากพิจารณาถึงเม็ดเงินจำนวนมากที่นักลงทุนต่างประเทศขนออกไปจากตลาดหุ้นไทยในรอบนี้ (1-12 ต.ค.) พบว่า นักลงทุนทั่วไปมีการเข้าซื้อสะสมหุ้นเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยจาก 1.04 แสนล้านบาทเมื่อสิ้นเดือน ก.ย.66 ขยับมาเป็น 1.06 แสนล้านบาท แต่กลับเป็นแรงซื้อสะสมของกลุ่มสถาบันเข้ามาเพิ่มเติมค่อนข้างมากถึง 4.06 พันล้านบาท จนทำให้กลุ่มสถาบันซื้อสะสมหุ้นไทยแล้ว 5.49 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน
ภาพรวมมีการประเมินว่า นอกจากสงครามที่เกิดขึ้น ตลาดหุ้นเอเชียยังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการไหลออกของเงินตราต่างชาติในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา อันเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานในสหรัฐฯ และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มขึ้น
เนื่องจาก แม้เฟดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมเมื่อเดือนที่แล้ว แต่ก็ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งภายในสิ้นปี โดยระบุว่า นโยบายการเงินมีแนวโน้มจะเข้มงวดยิ่งขึ้นตลอดปี 2567 เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ผลักดันให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 ปีที่ 4.688% ส่งผลกระทบต่อหุ้นเอเชีย โดยดัชนี MSCI Asia Pacific Index ร่วงลง 2.9% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน
สิ่งเหล่านี้ยิ่งย้ำเตือนว่า อัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯยังส่งผลกระทบเชิงลบมากขึ้นต่อทุกตลาด และทุกภาคส่วนของเอเชีย ยิ่งตอกย้ำว่าอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นนั้นส่งผลเสียต่อผลตอบแทนของหุ้น ขณะที่สงครามที่เกิดขึ้นล่าสุดยังส่งผลให้เกิดความกังวลต่อนักลงทุนเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสที่จะสร้างความสำเร็จ หรือผลกำไรให้แก่พอร์ตลงทุนได้ด้วยเช่นกัน
หุ้นตกสวนทางน้ำมัน-ทองคำ
มีรายงานว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ได้ผลักดันให้ราคาน้ำมันทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น และมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในระยะสั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือแม้ราคาหุ้นจะตอบรับในเชิงลบ แต่การลงทุนในสินทรัพย์ประเภท ทองคำและน้ำมัน กลับมีแรงผลักดันให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น จนหลายต่อหลายคนเชื่อว่านี่คือ “วัฎจักรขาขึ้นรอบใหม่”
โดยเฉพาะราคาทองคำดัง พบว่ามีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ต่างจากคาดการณ์เดิมที่หลายฝ่ายมองว่า หากไม่มีสงคราม การเด้งคืนของทองคำอาจมองเป็นการฟื้นตัวระยะสั้น และที่ผ่านมาทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่เกิดภาวะสงคราม จึงเป็นไปได้ว่าหากสงครามมีความรุนแรงยืดยาว ทองคำอาจจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ
ส่วนราคาน้ำมันพบว่าจากสงครามที่เกิดขึ้น ผลักดันให้ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 5% ในการเปิดตลาดซื้อขายเช้าวันจันทร์ (9ต.ค.) โดยน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงจากจุดสูงสุด 94 ดอลลาร์สหรัฐ มาที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐ และอาจจะเดินหน้าปรับตัวขึ้นต่อ โดยหากผ่านจุดสูงสุดเดิมที่ 95 ดอลลาร์สหรัฐ จะมีโอกาสแตะระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐ
จับตาความยืดเยื้อของสงคราม
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.) โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาแกว่งตัวผันผวน โดยมีแรงกดดันจากความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์หลังกลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลบริเวณฉนวนกาซาในช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 7 ต.ค. มีรายงานยอดผู้เสียชีวิตทั้งสองฝ่ายนับพันรายและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีก
ขณะที่อิสราเอลเรียกระดมทหารกองทุนเพิ่มอีก 300,000 คนและทำการปิดล้อมฉนวนกาซาซึ่งทำให้เกิดความวิตกว่าอิสราเอลมีแผนโจมตีภาคพื้นดิน สิ่งที่เกิดขึ้นต้องจับตาว่าจะเกิดเป็นสงครามยืดเยื้อหรือไม่ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าดีดตัวขึ้นแรงหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงคาดการณ์กรอบดัชนีที่ 1,400-1,460 จุด
ส่วนด้านทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐพุ่งขึ้น 336,000 ตำแหน่งในเดือน ก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 170,000 ตำแหน่ง สำหรับอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.8% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.7% ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักในการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปี 66 โดยอาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือน พ.ย. หรือ ธ.ค.นี้
อย่างไรก็ตามฟันด์โฟลว์โดยรวมยังไหลออกเห็นได้จากรายงานของ ตลท.เกี่ยวกับมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์สะสมตามกลุ่มนักลงทุนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-6 ต.ค.66 ทำให้กลยุทธ์การลงทุนในช่วงเวลานี้ถูกเพิ่มน้ำหนักให้กับหุ้นพลังงานที่ได้ประโยชน์จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกจากความกังวลในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส (Hamas) หรือองค์กรการเมืองติดอาวุธของชาวปาเลสไตน์ ได้แก่ PTTE, SPRC, BCP และ ESSO
ขณะที่ทิศทางการลงทุนในทองคำ แนะนำจับตาการประกาศอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐซึ่งคาดว่าจะปรับตัวสูงกว่าเดือนสิงหาคม เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นจากสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ทำให้ประเมินว่าราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ หลังราคาทองคำดีดตัวขึ้นมาเหนือ 1,850 เหรียญ/ออนซ์
หวั่นสงครามลุกลาม
ด้านบล. ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ความไม่แน่นอนด้านระยะเวลา และขอบเขตของการทำสงครามระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ครั้งนี้จะสนับสนุนราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นให้สูงขึ้นได้หากสงครามลามไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐ ซึ่งมองว่าผลกระทบ ต่อสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
นั่นทำให้มองว่าหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์ และผลเสียจากความตึงเครียดที่สูงขึ้นในตะวันออกกลาง และมีโอกาส Outperform SET มากสุด ได้แก่ PTTEP แนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมายที่ 180 บาท คาดว่า จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น โดย บริษัทมีสัดส่วนปริมาณน้ำมันดิบคิดเป็นประมาณ 27-30% ของปริมาณยอดขายรวม
นอกจากนี้ เชื่อว่าปริมาณขาย เฉลี่ยจะกลับมาฟื้นต้วได้ในไตรมาส 4/2566 หลักๆ จาก ปริมาณขายเฉลี่ยของโครงการ G1/61 ที่สูงขึ้น และ การกลับมาดำเนินงานเต็มไตรมาสของโครงการ G2/61
ขณะเดียวกันมองว่าหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน จะได้รับประโยชน์ ต่อแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น โดยคาดว่าหากสงครามยืดเยื้อและมีการลามไปถึงความสัมพันธ์ของประเทศที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคตะวันออกกลาง ก็จะสนับสนุนให้ราคาน้ำมันดิบ ยืนสูงได้ต่อเนื่อง
กลุ่มท่องเที่ยวได้รับผลกระทบ
สำหรับกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ กลุ่มท่องเที่ยวจากการได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวอิสราเอลท่ามีโอกาสลดลงจากช่วง 8 เดือนนี้อยู่ที่ 1.6 แสนคน เทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวรวม 17.8 ล้านคน หรือคิดเป็น 0.9% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด แต่ถ้าสถานการณ์ยืดเยื้ออาจจะกระทบกับกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสราเอล รวมถึงตะวันออกกลางด้วย ซึ่ง จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้รวมกันอยู่ที่ 5.7 แสนคน หรือคิดเป็น 3.2% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
PTTEP ถูกยกให้โดดเด่น
ส่วนบล.กสิกรไทย ประเมินว่า ที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 4% จากความกังวลสงคราม และความขัดแย้งจะขยายตัวไปยังประเทศอื่นๆ เช่น อิรัก อิหร่านฯลฯ ซึ่งมีการผลิตน้ำมันดิบคิดเป็น 30% ของกำลังผลิต น้ำมันโลก ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมันดิบปัจจุบันยังคาดการณ์ได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับสถานการณ์สงคราม ซึ่งในอดีตเมื่อ 50 ปีก่อน ที่มีการสู้รบกันอย่างมีนัยสำคัญ ราคาน้ำมันดิบช่วงนั้นขึ้น 3-4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเหตุการณ์ ตอนนี้ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวขึ้น 3-4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
โดยฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำซื้อหุ้นพลังงาน ในกลุ่มพลังงานต้นน้ำ คือ PTTEP โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 180 บาท และหุ้นกลุ่มโรงกลั่น แนะนำซื้อ TOP ให้ราคาเหมาะสม 55.50 บาท และ ESSO ให้ราคาเหมาะสมที่ 12.20 บาท
ด้าน บล.กรุงศรี พัฒนสิน มองว่าสถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นในอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาจทำให้เกิดความกังวลจะเป็นอุปสรรคต่อเส้นทางการบินระหว่างประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยกรณีไม่ยืดเยื้อรุนแรง จะส่งผลเพียง Sentiment ลบต่อราคาหุ้นในระยะสั้น
กลุ่ม ร.พ.ได้รับผลกระทบด้วย
โดยประเมินว่ากลุ่มโรงพยาบาล เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากการศึกษามีรายได้จากลูกค้าอิสราเอลน้อยกว่า 1% ของรายได้โรงพยาบาล โดยลูกค้ากลุ่มตะวันออกกลางส่วนใหญ่ ได้แก่ โอมาน, กาตาร์, คูเวต, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งหากพิจารณาสัดส่วนรายได้กลุ่มตะวันออกกลางมองว่า BH จะมีผลกระทบเชิง Sentiment ลบมากสุด เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้ราว 25% ของรายได้ทั้งหมด รองมาเป็น บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH มีสัดส่วนรายได้ 5.9% และ BDMS สัดส่วนรายได้ 3.4% ขณะที่ บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG และ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG มีสัดส่วนรายได้เพียง 1-2% ของรายได้
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าสงครามระหว่างอิสราเอล และกลุ่มติดอาวุธฮามาส จะส่งผลให้เกิดความกังวลต่อการตอบโตของสหรัฐและนาโต้ ที่มีต่อกลุ่มโอเปกพลัส ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ และราคาพลังงานอื่นมีแนวโน้ม ผันผวน แต่เป็นบวกต่อกลุ่มต้นน้ำอย่างหุ้น PTTEP และโรงกลั่น ได้แก่หุ้น BCP, TOP และ SPRC แต่เป็นลบต่อกลุ่มปิโตรเคมี สถานบริการ และโรงไฟฟ้า โดยแม้ทั้งอิสราเอล และปาเลสไตน์ จะไม่มีกำลังการผลิตน้ำมันดิบ และมีการใช้ที่จำกัดราว 50-400 KBD หรือต่ำกว่า 0.5% ของการใช้ทั่วโลก แต่มีโอกาส เป็นฉนวนให้เกิดการตอบโต้ระหว่างสหรัฐ-นาโต้ ที่จะมีต่อโอเปกพลัส และรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบหลัก หรือควบคุมครองสุเอซที่เป็นหนึ่งในเส้นทางหลักในการขนส่งน้ำมันและสินค้า
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่า แม้น้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่อาจจะมีการปรับขึ้นไปได้ไม่ไกลมากนัก เนื่องจากตัวเลขสต็อกน้ำมันของสหรัฐสูงกว่าที่คาดไปมาก อย่างไรก็ตามหากเศรษฐกิจจีนกลับมาฟื้นจะช่วยผลักดัน ให้ตัวเลขน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก
โดยกลุ่มพลังงานที่แนะนำลงทุน ได้แก่หุ้น ที่ได้รับอานิสงส์ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น นั่นคือ PTTEP โดยเชื่อว่า งบครึ่งปีหลังจะออกมาดีจากทั้งปริมาณขายและจากราคาขายในไตรมาส 3ปี 2566 บวกกับไม่มีความเสี่ยงของนโยบายภาครัฐ ขณะที่หุ้นโรงไฟฟ้ายังมีความเสี่ยงที่ยังคงได้รับผลกระทบจากบอนด์ยีลด์ที่สูงก็จะเป็นตัวกดดันให้กับกลุ่มโรงไฟฟ้า รวมถึงค่าเงินบาท ที่อ่อนค่าลง เนื่องจากหุ้นโรงไฟฟ้ามีการ ไปลงทุนยังต่างประเทศ
PTTEP ศักยภาพกำลังฟื้นตัว
ด้าน บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) ประเมินผลการดำเนินงานของ PTTEP ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เป็นบวก หลังคาดว่าปริมาณขายก๊าซในไตรมาส 4 นี้จะเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาขายเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ ยังคงแนะนำ "ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมายที่ 189 บาท
โดยในไตรมาส 3/66 คาดว่า PTTEP จะทำกำไรสุทธิได้ 1.91 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.6% yoy และลดลง 9.3% qoq ขณะที่ทั้งปีนี้คาดว่า PTTEP จะมีกำไรสุทธิ 7.03 หมื่นล้านบาท เนื่องจากแหล่งก๊าซบงกช (G2) หยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 3 ส่งผลให้ปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติลดลงเหลือ 700mmscfd จาก 850mmscfd ในไตรมาส 2/66 ขณะที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ระบุว่าแหล่งก๊าซเอราวัณมีการผลิตก๊าซเพิ่มขึ้นแตะ 429mmscfd ในเดือนก.ค.66 จาก 240mmscfd ในไตรมาส 2 รวมทั้งสินทรัพย์ในประเทศโอมานมีปริมาณการขายน้ำมันเพิ่มขึ้น
ทำให้คาดว่าในไตรมาส 3/66 บริษัทจะมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นเป็น 467k boe/d เพิ่มขึ้น 5% qoq ส่วนไตรมาส 4/66 แหล่งบงกชไม่มีกำหนดซ่อมบำรุง ปริมาณการผลิตก๊าซน่าจะกลับมาอยู่ที่ 850mmscfd และเมื่อรวมกับแหล่ง B8 ที่กลับมาเปิดดำเนินงาน ปริมาณขายของ PTTEP ในไตรมาส 4 น่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 477k boe/d
รวมถึงราคาน้ำมันที่รับรู้จากสินทรัพย์ในโอมานของ PTTEP มักปรับตามหลังราคาในตลาด spot ประมาณ 2 เดือน เชื่อว่าช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ขาขึ้น โดยราคาน้ำมันเฉลี่ยของ PTTEP น่าจะมีส่วนลดประมาณ 4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เมื่อเทียบกับน้ำมันดิบดูไบในไตรสมาส 3
ทั้งนี้ตั้งสมมติฐานว่าก๊าซเฉลี่ยที่ 5.8 เหรียญสหรัฐ/mmbtu ราคาขายเฉลี่ยของ PTTEP ไตรมาส 3 จะเพิ่มเป็น 49.32 เหรียญสหรัฐ/boe จาก 45.72 เหรียญสหรัฐ/boe ไตรมาส 2 อย่างไรก็ตาม PTTEP ได้ทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงครอบคลุมปริมาณขายน้ำมันเพิ่มอีก 3.3 ล้านบาร์เรล (ส่วนใหญ่ชำราคาในปี 67) ทำให้ยังมีปริมาณน้ำมันที่อยู่ภายใต้สัญญาป้องกันความเสี่ยง 4.4 ล้านบาร์เรลในไตรมาส 3 (หัก settlement volume 2.1 ล้านบาร์เรล)
สำหรับการที่ซาอุดิอาระเบียขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ และรัสเซียประกาศระงับการส่งออกน้ำมัน จะส่งผลให้ตลาดน้ำมันโลกยังคงตึงตัว แต่อุปทานน้ำมันอาจเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้จากเคอร์ดิสถาน (KRG) ประมาณ 450kbd เมื่อท่อส่งน้ำมันอิรัก-ตุรกีกลับมาดำเนินการอีกครั้ง หลังระงับเส้นทางขนส่งน้ำมันนี้ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
ส่วนราคา Brent future ปรับตัวลงช่วงนี้ เพราะตลาดกังวลกับอุปสงค์ที่อ่อนตัว แต่จากข้อมูลของ Bloomberg ชี้ว่า Brent future อยู่ในสภาวะ backwardation ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะสต๊อกน้ำมันทั่วโลกยังต่ำกว่าคาด ฝ่ายวิจัยฯจึงคงประมาณการราคาน้ำมันดิบ Brent ในไตรมาส 4 ที่ 93 เหรียญสหรัฐ/ บาร์เรล เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงเกินไป อาจทำให้ซาอุดิอาระเบียกลับมาเพิ่มกำลังการผลิต จากที่ปรับลดไป 1 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อปรับสมดุลของตลาด
ดังนั้น แนะนำ "ซื้อ" PTTEP ที่ราคาเป้าหมายเดิม 189 บาท มองระยะสั้นยังมีแรงหนุนจากราคาน้ำมันทรงตัว เราประมาณการว่าราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ปรับตัวขึ้นทุก 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะทำให้ประมาณการ EPS ในปี 67 เพิ่มขึ้น 1.7% ทั้งนี้ปัจจัยบวกที่ช่วยให้ราคาหุ้นระยะสั้น คือ ปริมาณขายที่สูงกว่าคาด ส่วน downside risk จะมาจากการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของโครงการผลิตก๊าซในโมซัมบิก