xs
xsm
sm
md
lg

อสังหาฯ เกาะ 3 เทรนด์แห่งอนาคต "เวลเนส เรสซิเดนซ์-อาคารสีเขียว-คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิตในช่วงเวลาแห่งวิกฤตไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม รวมถึงโรคระบาด ทำให้ผู้คนมีการปรับตัวอย่างมากมาย เมื่อทุกอย่างค่อยๆ คลี่คลาย ฟื้นฟูในการใช้ชีวิตค่อยๆ ดำเนินต่อไป ทุกวันนี้ผู้คนกลับมามีความหวังกับตัวเอง และโลกใบนี้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นดูแลตัวเองเพื่อให้มีสุขภาวะที่ดีในองค์รวม หันมาใช้ชีวิตเชื่อมต่อกับธรรมชาติมากขึ้น ต่างขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ในการใช้ชีวิตของคนทุกเพศทุกวัย

และการที่ต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย จึงไม่แปลกที่คน Gen Y ถึง Gen X ซึ่งอยู่ในช่วงวัยที่ต้องการแบกรับภาระต่างๆ ทำให้รู้สึกอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อยกับการดำรงชีวิต พวกเขาจึงมองหาความสุข เพื่อการใช้ชีวิตที่มีความหมาย หันกลับมาให้ความสำคัญเรื่องความสมดุลของชีวิต ใส่ใจดูแลสุขภาพ ให้ความสำคัญกับจิตใจและอารมณ์ ใช้จังหวะชีวิตที่ช้าลง อยู่กับธรรมชาติมากขึ้น คนเทรนด์นี้จะมองหาการพักผ่อน และทำกิจกรรมที่ชอบในช่วงวันหยุด ผ่อนคลายกับธรรมชาติ สนใจการปรับปรุงบ้านเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต

ขณะที่หลังผ่านพ้นโควิด-19 เรื่อการดูแลสุขภาพกลายเป็นเทรนด์ที่มาแรง ซึ่งนอกจากการดูแลเรื่องสุขภาพแล้ว การมีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมที่ดี สามารถตอบสนองได้ทันทีต่อการดูแลสุขภาพของลูกค้าที่อยู่อาศัยในโครงการ เป็นหนึ่งในหัวข้อหลักของการจะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย


โดย ดร.วิทยา สินทราพรรณทร ผู้อำนวยการอาวุโสสายการตลาด บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ สะท้อนถึงเทรนด์ที่เกิดขึ้นและจะเพิ่มบทบาทมากขึ้นในเร็วๆ นี้ ว่า "เวลเนส เรียลเอสเตท" (Wellness Residence) เป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และคาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้อีกมากในอนาคต จากปัจจัยหลัก ได้แก่ จำนวนประชากรสูงวัยในสังคมเพิ่มสูงขึ้นใกล้แตะ 70 ล้านคน และผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา ส่งผลให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยยุคใหม่มุ่งตอบโจทย์ด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น

"ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดในเซกเมนต์นี้เติบโตมาก และไม่ได้จำกัดอยู่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ขยายไปในหลายพื้นที่รอบนอก โดยเฉพาะโรงพยาบาลหลายแห่งหันมาพัฒนาโครงการ Wellness Residence กันมากขึ้นในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งบ้านวัยเกษียณที่เปิดรองรับกลุ่มสูงวัย อายุ 40-60 ปีขึ้นไป" ดร.วิทยา กล่าว

โดยความน่าสนใจของตลาดเซกเมนต์นี้ยังอยู่ที่มูลค่าตลาด โดยรายงานของ Global Wellness Real Estate Market คาดการณ์ถึงมูลค่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพทั่วโลก จะเติบโตสูงถึง 575.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2565-2570 ขณะที่ปี 2560 ที่ผ่านมาตลาดมีมูลค่าแค่ 136.23 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น

ทั้งนี้ แนวทางที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์สามารถพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพ และกลุ่มคนสูงวัย ได้แก่ บ้านที่ตั้งอยู่ในทำเลขอบเมือง เช่น เขาใหญ่ หัวหิน จะเป็นที่ต้องการมากขึ้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี ปลูกต้นไม้จำนนมาก เพื่ออากาศที่บริสุทธ์ส่งผลต่อสุขภาวะที่ดี นอกจากนี้ ยังมีในเรื่องของสังคมแวดล้อมในโครงการ หรือคอมมูนิตีต้องมีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การจัดแข่งขันกีฬา เล่นเกม เพนต์รูป และสนับสนุนการทำงานของอวัยวะที่มีโอกาสเสื่อมสภาพลง เช่น โรคอัลไซเมอร์

"ที่ผ่านมา มีโครงการคอนโดมิเนียมที่หันมาทำในเรื่องของการวางระบบโฮมออโตเมชัน การออกแบบแสงไฟภายในห้องให้เอื้อต่อการใช้ชีวิต การเลือกวัสดุจากธรรมชาติ (Green Material) ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้รวมเป็นเวลเนสทั้งสิ้น และเป็นจุดที่ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ นำมาใช้สร้างจุดเด่นให้โครงการ" ดร.วิทยา กล่าว

ในส่วนของโครงการ ดิ แอสเพน ทรี เดอะ ฟอเรสเทียส์ ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ "ไลฟ์ไทม์ โฮม" หรือบ้านที่อยู่ได้ตลอดชีวิต โดยศึกษาถึงความต้องการของกลุ่มคนสูงวัยที่กังวลเรื่องการเงิน โรคภัยไข้เจ็บ ความแก่ชราใครจะมาดูแล นำมาสู่การพัฒนาบ้านด้วยยูนิเวอร์แซล ดีไซน์ ที่สวยงามและปลอดภัยต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนในวัยนี้ พร้อมร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ Baycrest จากประเทศแคนาดา ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงวัยเข้ามาให้บริการ รวมถึงโซลูชันบริการต่างๆ เช่น บริการอาหารเช้า ประกันสุขภาพ 40 ล้านบาทต่อปี การเปิดให้บริการคลินิก 9 แห่งภายในโครงการสำหรับผู้สูงอายุ เช่น ด้านอายุรกรรม ทางเดินปัสสาวะ หูตาคอจมูก ศูนย์ฟื้นฟู นอกจากนี้ ยังมีลู่วิ่ง และพื้นที่ป่าที่มากถึง 30 ไร่ เป็นต้น

นอกจาก “เวลเนส เรสซิเดนท์” แล้ว อีกเทรนด์ที่มาแรงคือ คอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ที่เกิดจากความนิยมในการเลี้ยงสัตว์ไม่ใช่ “Friendly” แต่เป็น “Family” ที่เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว


ซัปพลายตลาด "เพ็ท คอนโดฯ" มาแรง

ขณะที่ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตัวจริงในเรื่อง Pet Family Residences โดย น.ส.เพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กล่าวว่า ในปัจจุบันที่ราคาที่ดินกำลังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มบ้านระดับลักชัวรี เริ่มมีแนวโน้มในการพัฒนาที่ดินบริเวณโซนชานเมือง ทั้งบรมราชชนนี ราชพฤกษ์ กรุงเทพกรีฑา พัฒนาการ แม้แต่บางใหญ่และบางนามีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ส่วนทำเลใจกลางเมือง และ New CBD ยังเป็นตลาดที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯ ที่นิยมพัฒนาโครงการบนพื้นที่ศักยภาพที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายพร้อม ทั้งเรื่องการเดินทาง แหล่งไลฟ์สไตล์ ชอปปิ้งพักผ่อน ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าทั้งในโซนสาทร สุขุมวิท และที่น่าจับตามอง คือ ทำเล “ลาดพร้าว” ที่กำลังพัฒนาเป็น Northern CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 820,000 บาทต่อตารางวา เพิ่มขึ้น 3.8% เป็นผลพวงมาจากการที่รถไฟฟ้าสายสีเหลืองเปิดให้ดำเนินการ และเป็นพื้นที่เชื่อมต่อแพลตฟอร์มรถไฟฟ้าหลายสายทั้งบีทีเอสและเอ็มอาร์ที

ทั้งนี้ โครงการคอนโดฯ ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ 100% มีผลความคุ้มค่าของการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น โครงการคอนโดฯ มารุ ลาดพร้าว 15 จากราคาเปิดขายเฉลี่ยที่ 120,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ปัจจุบันราคาเริ่มต้นที่ 5.4 ล้านบาท เฉลี่ยราคาที่ 152,000-164,000 บาทต่อ ตร.ม. หรือคิดเป็น Capital Gain สูงถึง 36% จากราคาขายในช่วงเปิดตัว

หรือแม้แต่โครงการคอนโดฯ เอ็ม ลาดพร้าว จากราคาเปิดขายเฉลี่ยที่ 116,000 บาทต่อตร.ม. ปัจจุบันราคาเริ่มต้นที่ 4.5 ล้านบาท เฉลี่ยราคาที่ 156,000-198,000 บาทต่อตร.ม. หรือคิดเป็น Capital Gain สูงถึง 70% จากราคาขายในช่วงเปิดตัว

"ความสำเร็จเหล่านี้มาจากการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด และเป็นโครงการ Pet Family ที่เน้นการออกแบบห้องที่สามารถรองรับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ประกอบกับการดูแลรักษาโครงการให้คงความสวยงามเหนือกาลเวลาอย่างสม่ำเสมอ การบริการและกิจกรรมหลังการขายที่คิดค้นและสร้างสรรค์มาจาก Passion ส่งผลให้สามารถสร้างความประทับใจให้ลูกบ้านด้วยมาตรฐานการดูแลระดับพรีเมียม และเรายังคงจะไม่หยุดยั้งในการพัฒนาและสร้างสรรค์เพื่อย้ำวิสัยทัศน์ของการเป็น Lifescape Developer" น.ส.เพชรลดา กล่าวถึงผลสำเร็จที่ทำให้โปรดักต์คอนโดฯ มีมูลค่าสูงขึ้น

ด้านนายสมสกุล แสงสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบผลิตภัณฑ์ และกรรมการบริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดเพ็ท คอนโดมิเนียม ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวมากถึง 35-40 โครงการ ประมาณ 8,000 ยูนิต ในจำนวนนี้เป็นโครงการจากออริจิ้นมากถึง 16 โครงการ ประมาณ 3,800 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% ของตลาดในเซกเมนต์นี้ และในปีหน้าเตรียมพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มอีก 8-9 โครงการ ประมาณ 1,600 ยูนิต

โดยคาดการณ์ว่าในปี 2567 ตลาดคอนโดฯเลี้ยงสัตว์ได้จะเติบโตได้อีกมาก หลังจากมูลค่าตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงมีมูลค่าสูงถึง 34,000 ล้านบาทในปี 2562 ขยายตัวเพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาทในปี 2565 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มเป็น 55,000 ล้านบาทในปี 2566 นี้

โดยเฉพาะการเลี้ยงสุนัขและแมวของครอบครัวคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นทั่วโลก ขณะที่ในประเทศไทยช่วงปี 2562-2565 มีอัตราการเติบโตของจำนวนสุนัข และแมวที่มีเจ้าของอยู่ที่ 24% แบ่งเป็นแมวมีอัตราการเติบโตกว่า 38% และสุนัขเติบโต 18% ทั้งนี้การเติบโตดังกล่าวมาจากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป โดยมีกลุ่มคนที่เรียกว่า Sinks (Single Income No Kid) หรือคนที่ใช้ชีวิตโสด มีความเหงา ต้องการมีสัตว์เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน Dinks (Double Income No Kid) คนที่แต่งงานแล้วมีรายได้ทั้งคู่แต่ไม่มีลูก รวมถึงกลุ่ม LGBTQ+

ซึ่งทั้งหมดเป็นรูปแบบครอบครัวที่มีขนาดเล็กลง และมีสัตว์เลี้ยงไว้เป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่เลี้ยงไว้เหมือนเป็นลูก รองลงมาเป็นการเลี้ยงสัตว์เพื่อแสดงสถานะทางสังคม และกลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือดูแล

"คนรุ่นใหม่มองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นมนุษย์มากขึ้น หรือ Pet Humanization และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว ซึ่งไม่ใช่แค่คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้เท่านั้นที่เป็นกระแส แต่ยังรวมถึงโอกาสของธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง คาเฟ่น้องหมา น้องแมว ที่เกิดจากความต้องการของคนที่ใช้ชีวิตเหงาและโดดเดี่ยวในเมืองแต่ไม่พร้อมเลี้ยงไว้ในบ้าน หรือคนอยู่คอนโดฯ ที่ไม่อนุญาตให้เลี้ยงได้" นายสมสกุล กล่าว

ดังนั้น แนวทางการพัฒนาคอนโดฯ ที่เลี้ยงสัตว์ได้ ผู้ประกอบการต้องศึกษาและทำความเข้าใจ เสมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว โดยคำนึงถึง Pet wellness โครงสร้างและกายภาพ ทำอย่างไรให้ดำเนินชีวิตได้อย่างแข็งแรง ด้านอารมณ์และจิตใจ สีที่นำมาใช้ในการออกแบบโครงการ สภาพแวดล้อม โภชนาการและเคมีภัณฑ์ เช่น การมีเครื่องฟอกอากาศ ราวระเบียงกันตก ปลั๊กที่ต้องเพิ่มจำนวนเพื่อความสะดวกในการใช้งาน อุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องให้อาหารอัตโนมัติ สุขภัณฑ์ ขณะที่พื้นห้องควรทำความสะอาดได้ง่าย

โดยกลุ่มออริจิ้นฯ มีบริษัทในเครือ คือ พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ที่ให้บริการอสังหาฯ สมัยใหม่แบบครบวงจร ซึ่งในอนาคตจะมีการดูแลน้องหมาน้องแมวมาเช็กอินจะต้องมีพาสปอร์ต ทำให้ทราบถึงน้ำหนัก ประวัติการฉีดวัคซีน ทำให้ฝ่ายบริการสามารถบันทึกและแจ้งเตือนให้เข้ารับบริการได้


อาคารสีเขียว เทรนด์ที่มีผลต่อผู้บริโภค

นายเทพฤทธิ์ ทิพย์ชัชวาลวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอรัล ไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า อาคารประหยัดพลังงานมีความสำคัญที่ส่งผลต่อคน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่โลกต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) ที่เป็นผลมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอสังหาริมทรัพย์นับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีส่วนในการปล่อยคาร์บอนสูงถึง 40% จากการก่อสร้าง และการใช้อาคาร

โดยระบบควบคุมอาคารทำงานด้วย Digital twin คือ ข้อมูลทางกายภาพของอาคารที่ใส่ข้อมูลทั้งหมดไปไว้ในโลกดิจิทัล ทั้งค่าฝุ่น PM2.5 การใช้งานลิฟต์โดยสายระบบคุมไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ การป้องกันอัคคีภัย และทุกอย่างในอาคาร จะแสดงไว้บนแดชบอร์ด (Dashboard) ทำให้บริหารจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างอาคารทั่วไปมีความต้องการใช้พลังงาน 100% ขณะที่อาคารประหยัดพลังงานที่บริษัทออกแบบ สามารถลดความต้องการในการใช้พลังงานลง โดยใช้เพียง 30% เท่านั้น หากลงรายละเอียดจะพบว่าอาคารทั่วไปใช้ 800-1,200 บีทียู/ตารางเมตร ส่วนอาคารที่บริษัทออกแบบใช้เพียง 100-250 บีทียู/ตารางเมตร ประหยัดพลังงานได้ถึง 70% โดยอาคารสำนักงาน 5 ชั้นของบริษัท Coral สุขุมวิท 39 มีพื้นที่ 3,000 ตารางเมตร ออกแบบให้ใช้งาน 500,000 BTU ทำให้มีค่าไฟฟ้าเพียง 88,000 บาทต่อเดือน สามารถประหยัดพลังงานได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับอาคารทั่วไปที่ใช้ 3,000,000 BTU และมีค่าไฟฟ้าสูงถึง 500,000 บาทต่อเดือน

อนึ่ง ที่ผ่านมา พบว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการขอพื้นที่ก่อสร้างปีละกว่า 20 ล้าน ตร.ม. คำนวณ 1 ตร.ม. ใช้แอร์ 1,000 BTU ประมาณปีละราว 20,000 ล้าน BTU และหากนำแนวคิดอาคารประหยัดพลังงานไปใช้จะสามารถจะลดการใช้ไฟฟ้าได้กว่า 70% หรือ ลดใช้แอร์ลงกว่า 14,000 ล้าน BTU ต่อปี

สะท้อนให้เห็นว่า การลงทุนในอาคารประหยัดพลังงาน จะช่วยผู้ประกอบการ และ SME ลดการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่ายลงได้อย่างมากในระยะยาว แลกกับการที่ต้องเพิ่มต้นทุนในการก่อสร้างอีก 5-10% ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับในระยะยาว

ส่วนของบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 200 ตารางเมตร ปกติใช้งานอยู่ที่ 100,000 BTU จากการออกแบบระบบทำให้สามารถลดการใช้งานลงเหลือเพียง 10,000 BTU เท่านั้น ทั้งที่ยังเปิดแอร์ตลอดวัน และมียอดการใช้ไฟฟ้าเพียง 2,000 บาทต่อเดือน

สำหรับผลงานที่ผ่านมา คอรัล ไลฟ์ เป็นบริษัทแรกและบริษัทเดียวที่ได้รับมาตรฐานอาคารเขียว ประหยัดพลังงานอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีทั้งการออกแบบอาคารบ้านพักอาศัย Passive House หลังแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้ง The House of Cornell Tech, Roosevelt Island, New York ที่ได้รับเป็น Passive House Residential Building ของโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น