ไบแนนซ์ผู้ให้บริการบล็อกเชนอีโคซิสเต็ม (Blockchain Ecosystem) และแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของโลก ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการติดตามเครือข่ายอาชญากรภายในประเทศที่ก่อเหตุฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล โดยทีมสืบสวนของ Binance ได้ให้ความช่วยเหลือกับทีมปฏิบัติการหลักทั้ง 2 ทีม ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ซึ่งนำไปสู่การจับกุมอาชญากรผู้กระทำความผิดในการหลอกลวงประชาชนผ่านสกุลเงินดิจิทัล
ทีมสืบสวนของไบแนนซ์ ได้ร่วมมือกับ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และหน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ สหรัฐอเมริกา ในการติดตามอาชญากรที่อยู่เบื้องหลังขบวนการฉ้อโกงขนาดใหญ่ที่มีผู้เสียหายในไทยกว่าพันรายครั้งนี้ โดยเรียกปฏิบัติการนี้ว่า Trust No One และนำไปสู่การยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า10,000 ล้านบาท และจับกุมสมาชิกคนสำคัญในกลุ่มอาชญากรจำนวน 5 ราย ซึ่งขณะนี้มีผู้เสียหายเข้ายื่นคำร้องแล้วกว่า 3,200 ราย
พ.ต.ท. ธนธัส กังรวมบุตร สารวัตรกลุ่มงานสนับสนุนทางไซเบอร์ กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวว่า “เราขอขอบคุณที่ไบแนนซ์ได้เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการจัดการอาชญากรกลุ่มนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมา การหลอกลวงที่เกี่ยวเนื่องกับคริปโตได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้เกิดความเสียหายทางด้านการเงินในประเทศไทยมากกว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ด้วยการทำงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเหล่าพันธมิตร รวมถึงทีมสอบสวนของ ไบแนนซ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เราสามารถดำเนินการจับกุมอาชญากรเหล่านี้ได้สำเร็จ ซึ่งในอนาคตข้างหน้า ไบแนนซ์จะยังคงเป็นพันธมิตรสำคัญที่จะร่วมมือกับเราในการต่อสู้กับการหลอกลวงและการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ต่อไป และเรายินดีอย่างยิ่งกับการร่วมมือกันในครั้งนี้”
นอกจากนี้ ทีมสืบสวนของไบแนนซ์ ยังมีบทบาทสำคัญในการสืบสวนการหลอกลวงผ่านคริปโตขนาดใหญ่ พร้อมเข้าจับกุม เครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ในพื้นที่กว่า 30 แห่ง บริเวณกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และอุดรธานี โดยเจ้าหน้าที่จาก บช.ก. กว่า 200 นาย สนธิกำลังเข้ายึดบ้านหรู 16 หลัง รถยนต์หรู 12 คัน พร้อมเงินสดมูลค่ากว่า 16 ล้านบาท
พ.ต.ท. ภานุภัทร กิตติพันธ์ รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กล่าวว่า “ความช่วยเหลือจากทีมสอบสวนของ Binance ทำให้เรารู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก โดยเหล่าทีมงานได้ส่งมอบข้อมูลที่จำเป็นให้กับพวกเราได้ในทันทีที่ร้องขอ ซึ่งทำให้เราสามารถจัดทำประวัติคดีและขอหมายจับได้ นอกจากนี้ ทาง ไบแนนซ์ ยังได้แสดงถึงความตั้งใจที่จะต่อกรกับกลุ่มอาชญากรด้วยการร่วมส่งพนักงานสอบสวนมายังประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการสัมภาษณ์พยานอีกด้วย”
มร.ทิกราน แกมบาเรียน (Tigran Gambaryan) หัวหน้าฝ่ายกำกับดูแลอาชญากรรมทางการเงินของไบแนนซ์กล่าวว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งผลลัพธ์ในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่เราได้พยายามดำเนินการมาโดยตลอด พร้อมพิสูจน์ให้เห็นว่าการรักษาความปลอดภัยที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดทางด้านภูมิศาสตร์เท่านั้น ทั้งนี้ ทีมสืบสวนของเราและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยจะมุ่งมั่นปกป้องผู้ใช้และส่งเสริมความก้าวหน้าในการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ต่อไป โดยไบแนนซ์จะยังคงร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการเรียกคืนความเชื่อมั่นในระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างดีที่สุด”
ทั้งนี้ การทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายถือเป็นหัวใจสำคัญของ ไบแนนซ์ในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางไซเบอร์ การสนับสนุนความปลอดภัยของระบบนิเวศ Web3 และการผลักดันการปฏิบัติตามกฎระเบียบระดับโลก โดยกว่าสามปีที่ผ่านมา ไบแนนซ์ ได้ตอบรับคำร้องและให้ความช่วยเหลือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมากกว่า 103,000 รายการ และใช้เวลาตอบกลับโดยเฉลี่ยภายในสามวัน ซึ่งถือว่าเร็วกว่าสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามไบแนนซ์ จะยังคงเดินหน้าลงทุนในการสร้างบุคลากรที่มีความสามารถด้านการกำกับดูแลการปฏิบัติงาน ส่งเสริมกระบวนการทำงานและเทคโนโลยีเพื่อให้เท่าทันต่อภูมิทัศน์ของการบังคับใช้กฎหมายอาชญากรรมทางไซเบอร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา