หุ้นไทยปิดร่วง -15.23 จุด โบรกฯชี้ปัจจัยลบต่างประเทศทั้ง ความกังวลในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนไม่สามารถออกหุ้นกู้ใหม่ได้ และสหรัฐต้องติดตามการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณฯ ซึ่งหากยังไม่ได้ข้อสรุปอาจเกิด Government Shutdown มองกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้แนวรับที่ 1,500 จุด และแนวต้านที่ 1,520 จุด แนะจับตาการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งอาจมีการอัพเดตความชัดเจนมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลเพิ่มเติม
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 25 กันยายน 2566 ปรับตัวลดลง -15.23 จุด หรือ -1.00% โดยปิดตลาดที่ 1,507.36 จุด มูลค่าซื้อขาย 42,194.46 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ดัชนีปรับตัวลงตามทิศทางของภูมิภาคตั้งแต่เปิดทำการซื้อิขายในภาคเช้าโดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,524.97 จุด ในทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,507.36 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 115 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 133 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 395 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -2,661.64 ล้านบาท และ บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -204.90 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +2,526.42 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิกว่า +340.12 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.BDMS มูลค่าการซื้อขาย 2,170.24 ล้านบาท ปิดที่ 26.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
2.AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,595.20 ล้านบาท ปิดที่ 69.50 บาท ลดลง 0.75 บาท
3.PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,594.44 ล้านบาท ปิดที่ 33.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
4.EA มูลค่าการซื้อขาย 1,558.97 ล้านบาท ปิดที่ 53.00 บาท ลดลง 3.25 บาท
5.SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,483.23 ล้านบาท ปิดที่ 103.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1. TQM ปิดที่ 34.50บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 4.55%
2.SNNP ปิดที่ 21.40บาท เพิ่มขึ้น 0.60 บาท หรือ 2.88%
3.BDMS ปิดที่ 26.75บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.90%
4.MEGA ปิดที่ 46.25บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 1.09%
5.PSL ปิดที่ 10.00บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท หรือ3.09%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.SCCปิดที่ 305.00บาท ลดลง 5.00 บาท หรือ 1.61%
2.EA ปิดที่ 53.00บาท ลดลง 3.25 บาท หรือ 5.78%
3.DELTAปิดที่ 105.00บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 2.33%
4.GPSCปิดที่ 46.00บาท ลดลง 2.25 บาท หรือ 4.66%
5.EGCO ปิดที่ 123.50บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 1.59%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,058.90 จุด ลดลง -21.76 จุด หรือ -1.05% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 923.50 จุด ลดลง -10.19 จุด หรือ -1.09% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 463.94 จุด ลดลง -7.56 จุด หรือ -1.60%
นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงตามทิศทางของตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค ประเด็นหลักที่กดดันดัชนี คือ ความกังวลภาคอสังหาริมทรัพท์ของจีนหลังจากบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ไม่สามารถออกหุ้นกู้ใหม่ได้ และทางฝั่งสหรัฐที่ต้องติดตามการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณฯ ซึ่งหากยังไม่ได้ข้อสรุปภายในวันที่ 30 ก.ย. อาจมีความเสี่ยงเกิด Government shutdown
"แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้ คาดว่าจะเป็นภาพของการไซด์เวย์สร้างฐาน โดยนักลงทุนจับตาดูทิศทางการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งจะมีการพิจารณามาตรการต่างๆ โดยเชื่อว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นทั้งมาตรการพักหนี้เกษตร หรือการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ต้องติดตามความคืบหน้าวงเงินงบประมาณต่างๆ ซึ่งอาจจะช่วยผลักดันดัชนีกลับมาได้ โดยหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ผลประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล อาทิ กลุ่มค้าปลีก แม้ว่าไตรมาส 3/66 ผลประกอบการอาจจะไม่โดดเด่นมาก แต่หากมองไปในไตรมาส 4/66 หุ้นกลุ่มดังกล่าวยังอยู่ในจุดที่น่าสนใจ อีกทั้งราคาหุ้นยังไม่ตอบสนองต่อมาตรการภาครัฐเท่าไร ส่งผลให้อาจมีแรงเก็งกำไรเข้ามาได้บ้าง โดยมองแนวรับที่ 1,500 จุด และแนวต้านที่ 1,520 จุด" นายชาญชัย กล่าว