บมจ.เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล (MMM) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ LiVEx เป็นรายที่ 4 โดยเตรียมเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก 3 ล้านหุ้น คิดเป็น 2.54% ของหุ้นทั้งหมดและที่เรียกชำระแล้ว เพื่อระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยมีบริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
MMM มีทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว 118 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญ 118 ล้านหุ้น เรียกชำระแล้ว 115 ล้านบาท โครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ มีบริษัท เอ็มเอ็ม แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด 99,999,000 หุ้น คิดเป็น 86.95% หลัง IPO จะลดเหลือ 84.74% น.ส.ณิชา โรจน์วัฒนา 7,500,500 หุ้น คิดเป็น 6.52% จะลดเหลือ 6.36% นายสุริยา วงศ์สิทธิชัยกุล7,500,500 หุ้น คิดเป็น 6.52% จะลดเหลือ 6.36%
ทั้งนี้ เอ็มเอ็ม แคปปิตอล โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นโดยนายสุริยา วงศ์สิทธิชัยกุล น.ส.ณิชา โรจน์วัฒนา ในสัดส่วนร้อยละ 50 และร้อยละ 50 ซึ่ง น.ส.ณิชา เป็นคู่สมรสของนายสุริยา
MMM ประกอบธุรกิจเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารงานขายการตลาด และการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ให้คำปรึกษาในการวางแผนการตลาดตลอดจนกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมไปถึงการซื้ออสังหาริมทรัพย์มือสองเพื่อจำหน่ายเป็นที่อยู่อาศัย เช่น โครงการบ้านเดี่ยว โครงการบ้านทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม เป็นต้น โดยบริษัทฯ จะทำการตลาดผ่านเครือข่ายนายหน้าอสังหาริมทรัพย์อิสระเพื่อให้ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่พร้อมขายสามารถสื่อสารและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
ในปี 65 บริษัทฯ ได้เริ่มธุรกิจ "ซื้ออสังหาริมทรัพย์มือสองเพื่อจำหน่าย" โดยซื้ออสังหาริมทรัพย์มือสอง อสังหาริมทรัพย์รอการขาย (Non-Performing Asset: NPA) จากสถาบันการเงิน บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรมบังคับคดี เจ้าของโครงการ และเจ้าของอสังหาริมทรัพย์รายย่อย เพื่อนำมาปรับปรุงซ่อมแซมก่อนนำออกจำหน่ายแก่ผู้ที่กำลังมองหาอสังหาริมทรัพย์มือสองสภาพดี
กลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
(1) กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลางและขนาดเล็กที่ประสบปัญหาด้านการตลาด หรือขาดแคลนบุคลากรด้านการขาย ไม่สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ รวมถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามแผนงาน จึงทำให้มีจำนวนอสังหาริมทรัพย์คงเหลือรอการพัฒนาและรอการจำหน่ายที่ค้างนานจำนวนมาก
(2) กลุ่มลูกค้าทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์มือสอง
ผลประกอบการของบริษัทในปี 64 และ 65 บริษัทมีรายได้รวม 104.24 ล้านบาท และ 127.25 ล้านบาท ตามลำดับ กำไรสุทธิ 15.67 ล้านบาท และ 42.21 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนงวด 6 เดือนแรกของปี 66 บริษัทมีรายได้ 93.95 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 24.89 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 35.77 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 8.38 ล้านบาท