xs
xsm
sm
md
lg

ดิจิทัลวอลเล็ตหมื่นบาท กระตุ้นเศรษฐกิจดันจีดีพีโต??

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แจก “กระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท” กระตุ้นเศรษฐกิจ ยังไม่ชัด หลายฝ่ายเห็นหลากมุม หวั่นเงินไหลสู่ประชาชนที่มีรายได้น้อยใช้จ่ายหมดจนเต็มวงเงิน ส่งผลให้เพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เสี่ยงภาวะเงินเฟ้อ ยังพ่วงหนี้หนี้สาธารณะพุ่ง แม้อาจส่งผลดีต่อตัวเลขจีดีพีขยับ หากใช้จริง ต้องพิจารณารอบด้านผลบวก-ลบ ข้อกฎหมายและเทคโนโลยีที่จะรองรับ ด้านพรรคเพื่อไทยแจงเงินคงคลังเพียงพอไม่ต้องกู้เพิ่ม ขณะ “เศรษฐา ทวีสิน” เดินหน้าเจรจาหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาข้อสรุป ก่อนประกาศใช้ต้นปี 67

หลังจากที่การจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จและแกนนำรัฐบาลเป็นพรรคเพื่อไทย ซึ่งนโยบายเศรษฐกิจของพรรคนี้มีหลายอย่างตั้งแต่การลดค่าไฟและน้ำมัน, พักหนี้เกษตรกร 3 ปี และ SME 1 ปี แต่ที่น่าสนใจและถูกจับตามองที่สุดคือการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชนชน ที่จะทำบนระบบบล็อกเชน และนั่นก็ทำให้มีการถกเถียงและกล่าวถึงกันมากในขณะนี้

"สภาพัฒน์" เผยเงินดิจิทัลต้องพิจารณารอบด้าน 

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยผลการหารือของทีมเศรษฐกิจกับนายเศรษฐาว่า เป็นการให้ข้อมูลเชิงลึก รวมทั้งหารือถึงแนวนโยบายที่รัฐบาลใหม่ต้องการจะดำเนินการว่ามีรูปแบบอย่างไร ซึ่งมีหลายเรื่องที่ต้องดำเนินการ นายเศรษฐาระบุว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 ปี 2566 ชะลอตัว และจำเป็นต้องมีมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต งบประมาณที่จะนำมาใช้ในมาตรการดิจิทัลวอลเล็ต ต้องไปดูในรายละเอียด ภาระการคลังที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งต้องเป็นการหารือร่วมกับหลายหน่วยงาน มาตรการพักชำระหนี้ ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดูแล เน้นการปรับโครงสร้างหนี้มาอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่ให้ลูกหนี้เกิดพฤติกรรมจงใจเบี้ยวหนี้ การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จาก 7% เป็น 10% เพื่อหารายได้จัดสวัสดิการรองรับสังคมสูงวัย สศช.ยืนยันว่าเป็นเพียงแนวคิดในงานสัมมนาที่หยิบยกขึ้นมาพูดคุย สศช.ไม่ได้เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่

โดยไตรมาส 2 ปี 2566 สถานการณ์แรงงานปรับตัวดีขึ้น ผู้ที่มีงานทำมี 39.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 1.7% ขณะที่อัตราว่างงานมีแนวโน้มดีขึ้น ลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ 1.06% หรือมีผู้ว่างงาน 4.3 แสนคน หนี้สินครัวเรือนไตรมาส 1 ปี 2566 ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.6% คิดเป็นมูลค่า 15.96 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90.6% ต่อจีดีพี เกิดจากการปรับนิยามหนี้ใหม่กว่า 7 แสนล้านบาท หรือกว่า 4.5% ต่อจีดีพี ความสามารถในการชำระหนี้ลดลงเล็กน้อย โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ที่ 1.44 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.68% ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.62% โดยความเสี่ยงในการเป็นหนี้เสียของสินเชื่อยานยนต์ ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไตรมาส 1 ปี 2566 หนี้เสียยานยนต์ ขยายตัวเพิ่มสูงกว่า 30.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญคือการหลอกลวงทางโทรศัพท์ ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปี 2565 คนไทยต้องรับสายจากมิจฉาชีพสูงถึง 17 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2564 กว่า 165.6% มีมูลค่าความเสียหายกว่า 38,786 ล้านบาท

แจกเงินหมื่นดิจิทัล ดันหนี้สาธารณะพุ่ง 

นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ถ้าตามหลักการของเศรษฐกิจ การแจกเงินโดยตรงและเงินไปถึงกลุ่มคนเป้าหมายจะเกิดการหมุนเวียนของเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ แต่การแจกทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป ก็ต้องดูที่ความเหมาะสมเป็นหลัก แม้การแจกเงินเป็นเรื่องดี แต่ต้องเชื่อมต่อให้ได้ว่าเมื่อประชาชนได้รับเงินแล้ว จะสามารถหารายได้กลับมาได้หรือไม่

อีกทั้งในส่วนของรัฐบาล ถ้าหาเงินกลับเข้ารัฐบาลได้ไม่มาก ปัญหาจะส่งถึงหนี้สาธารณะปัจจุบันอยู่ระดับ 61% ต่อจีดีพี หากมีการทำนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาท จะใช้งบประมาณ 5.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 3% ของจีดีพี ถ้ารวมการใช้เงินในนโยบายดังกล่าวอาจทำให้ตัวเลขหนี้สาธารณะอยู่ที่ 64% ภายในปีนี้ และอาจทำให้หนี้สาธารณะใกล้เพดานที่กำหนดไว้ 70% อีกทั้งจะทำให้งบประมาณใช้สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจแคบลง เพราะตัวเลขหนี้จะแตะเพดานหนี้สาธารณะที่ 70% อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ การลงทุนนี้คุ้มค่าหรือไม่ ถ้ามีการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจดีจนสามารถเก็บภาษีได้ มองว่าตลาดการเงินจะดีขึ้น ซึ่งบททดสอบจริงๆ คือตลาดการเงิน เช่นที่อังกฤษ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่สามารถหารายได้กลับเข้ารัฐได้ ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์ถูกเทขาย ขณะที่อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการถือครองพันธบัตร (บอนด์ยีลด์) ปรับขึ้นสูงมาก

"การทำนโยบายสะท้อนถึงความเชื่อมั่น เพราะการแจกหมื่นดิจิทัลใช้งบประมาณสูง และมีแนวทางจัดเก็บภาษีส่วนอื่นมาชดเชย ซึ่งต้องดูรายละเอียดและเหตุผลของรัฐบาลว่าตลาดจะรับฟังหรือไม่ หากเกิดความไม่มั่นใจขึ้น นักลงทุนจะเทขายสินทรัพย์เสี่ยงก่อน" นายบุรินทร์ กล่าว

ขณะเดียวกัน ในแง่การทำนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลแจกให้ประชาชน 1 หมื่นบาท ถ้าทุ่มงบลงไปแล้วได้เงินกลับมาคุ้มจะทำให้เศรษฐกิจเฟื้องฟู แต่อาจต้องดูข้อจำกัดหรือไม่ เพราะยังไม่แน่ชัดว่านโยบายเป็นลักษณะใด เงินจะสามารถใช้ได้กับห้างสรรพสินค้าหรือไม่ หรือต้องใช้เหมือนตอนที่รัฐบาลรักษาการได้ดำเนินการนโยบายคนละครึ่ง เพราะหากย้อนกลับไปที่มาตรการคนละครึ่งประสบความสำเร็จ เพราะมีการจำกัดว่าให้ใช้จ่ายในร้านค้าทั่วไป เมื่อเงินไหลสู่ประชาชนที่มีรายได้น้อยจะเกิดการใช้จ่ายในวงเงินดังกล่าวจนหมด จะเกิดการหมุนเงินในระบบเศรษฐกิจมากกว่าใช้เงินซื้อในร้านค้าขนาดใหญ่ หรือใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้า ดังนั้น ต้องติดตามเงื่อนไขของรัฐบาลว่ามีการให้เงิน 1 หมื่นบาท แต่จะใช้จ่ายได้ที่ใด

"เงิน 1 หมื่นบาท มองว่ามากหรือน้อย ต้องมองว่ารัฐบาลจะให้เงินนี้กับใคร สำหรับผู้มีรายได้อาจจะมองว่าน้อย แต่สำหรับคนระดับล่างถือว่าเป็นจำนวนที่มาก จึงมีผลต่อผู้มีรายได้น้อยมากกว่า ซึ่งถ้าสามารถเลือกกลุ่มที่มีความต้องการจริงๆ จะดีกว่า "นายบุรินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ดี ประเมินอนาคตเศรษฐกิจไทยภายใต้รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ว่า รัฐบาลใหม่มีโจทย์ท้าทายทั้งปัญหาที่มาจากต่างประเทศ เพราะปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวลงทั้งฝั่งยุโรปและจีน อีกทั้งปัญหาในประเทศ ที่รัฐบาลต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชน ซึ่งปัญหาหลักที่รัฐบาลใหม่ต้องเร่งแก้ไขคือเรื่องเศรษฐกิจ ที่ต้องทำอย่างไรให้ประชาชนกลับมาจับจ่ายใช้สอย และปัญหาที่ต้องเร่งแก้คือหนี้ครัวเรือน โดยหนี้เสียข้อมูลจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ระบุว่ามีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านบาท ถ้ายังเป็นหนี้ต่อไป ปัญหานี้จะดึงกำลังซื้อในประเทศ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีหนี้ค่อนข้างมาก และทำให้ดึงเศรษฐกิจลง ดังนั้น การจัดการเรื่องหนี้ครัวเรือน เป็นสิ่งที่ต้องเร่งทำ

เชื่อสร้างเงินหมุนเวียนในระบบ ดันจีดีพีโต 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยว่า นโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยสามารถทำได้ และมีเงินเพียงพอ แต่รัฐบาลอาจจะไปตัดบางโครงการที่ไม่จำเป็นออก และทำงบประมาณแบบขาดดุลแทน เพราะงบประมาณปี 67 สำนักงบประมาณได้กำหนดกรอบไว้ 3.35 ล้านล้านบาท ขณะที่เรื่องหนี้สาธารณะนั้นมองว่าไม่น่าจะกระทบ เพราะสำนักงบประมาณ มีการวางกรอบการขาดดุลไว้ไม่เกิน 4% ซึ่งจากสถานะทางการเงินขณะนี้อาจจะขาดดุลงบเพิ่มได้อีกเล็กน้อย เพราะเพดานหนี้สาธารณะอยู่ที่ 60% สามารถขยายได้ 70% รวมถึงอาจจะพิจารณาเรื่องการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) 7% ซึ่งส่วนนี้ไม่เพียงจะทำให้ได้เงินเพิ่ม 30,000-35,000 ล้านบาท แต่ยังจะได้ภาษีบุคคลและนิติบุคคลเพิ่มในปีถัดไป

สำหรับนโยบายแจกเงินดิจิทัล ต้องใช้งบประมาณ 560,000 ล้านบาท จะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 2-3 รอบ คิดเป็น 1-1.5 ล้านล้านบาท ส่วนวิธีการใช้รัฐบาลอาจจะแบ่งเป็นเฟสเพื่อกระจายให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นระยะเวลาหนึ่ง และกำหนดเงื่อนไขให้ใช้ในการซื้อสินค้าไทย เพื่อให้เม็ดเงินกระจายในประเทศไทยจะทำให้เงินหมุนหลายรอบเพื่อป้องกันเงินไหลออกไปกับสินค้าต่างประเทศได้

ทั้งนี้ แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปี 67 คาดจะขยายตัวได้ที่ 5-7% เนื่องจากจะเริ่มใช้งบประมาณได้ในเดือน เม.ย. 67 หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาล และยังมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ระยะแรกตั้งแต่ต้นปี 67 จากนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล หรือนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ขณะที่ภาคการส่งออก ปี 67 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3-5% ส่วนปี 66 คาดจะติดลบ 2-3% จากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในหลายประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ขณะเศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวช้า อีกทั้งผลกระทบจากภัยแล้งที่จะส่งผลกระทบในปีหน้า

บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด (Cryptomind Advisory)  ผู้ประกอบธุรกิจ ใบอนุญาตที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัล มองนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ Digital Wallet 10,000 บาท ที่จะแจกรวดเดียวทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม นโยบาย เป็นมาตรการเฉพาะหน้าที่เป็นรากฐานในการต่อยอดไปสู่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่น ซึ่งพรรคเพื่อไทยคาดว่าจะเริ่ม “ใช้นโยบายนี้ภายในครึ่งแรกปี 2567” จากเดิมที่ตั้งเป้าให้ ทันช่วงปีใหม่

ทั้งนี้ ข้อดีมองว่าการแจกเงินก่อนใหญ่ในครั้งเดียวทำให้ประชาชนมองถึงเรื่องการลงทุนประกอบธุรกิจมากกว่า เพียงซื้อ ของใช้ในชีวิตประจำวันอาจจะเพียงพอ นำไปใช้ตั้งต้นในการทำธุรกิจ เพราะพรรคเพื่อไทยจะมีนโยบายเสริมตามมา เช่น One Family One Soft Power (OFOS) ที่ช่วยส่งเสริมทักษะให้คนในครอบครัวจาก Thailand Creative Content Agency (THACCA) ที่เป็นหน่วยงานใหม่ที่ช่วยดูแลเรื่องนี้ อีกทั้งการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการเก็บข้อมูล ทำให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น การโกงยากขึ้น การเก็บข้อมูลที่เชื่อถือได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความสามารถในการเขียนโปรแกรมลงบนเงิน (Programmable Money)

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นของเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่ทาง Cryptomind Advisory ได้รวบรวมสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้หากเริ่มนโยบายเงินดิจิทัล คือ ความเสี่ยงในการเกิดเงินเฟ้อ เพราะการมีปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นในทันทีจะทำให้มีแรงซื้อเข้ามาจำนวนมากจนอาจเกิดการดันราคาสินค้าและบริการให้เพิ่มขึ้น ทำให้เงินที่มีอยู่มีอำนาจในการซื้อลดลง (Purchasing Power) หากรัฐบาล ไม่สามารถคุมราคาสินค้าในตลาดได้

ความไม่ชัดเจนในด้านกฎหมาย เพราะพรรคเพื่อไทยกล่าวว่าเงินดิจิทัลนี้ไม่ใช่ CBDC หรือเงินบาทหรือเงินธนาคารที่เราใช้ในชีวิตประจำ วัน แต่จะมีความคล้ายกับ Fiat-backed Stablecoin ที่มีเงินบาทหนุนด้านหลังในอัตรา 1:1 คล้ายกับ USDT หรือ USDC ที่หนุนด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐในจำนวนที่เท่ากัน ดังนั้น เงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทยที่ใช้ บล็อกเชนจึงมีความใกล้เคียงกับ “Utility Token หรือ E-money” แต่ก็มีรายละเอียดที่ยังขัดแย้งด้านกฎหมาย เพราะ Utility Token มีกฎสำคัญคือ จะต้อง “ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลก เปลี่ยน สื่อการชำระเงิน หรือโอนมูลค่าเพื่อชำระราคาสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นใดเป็นการทั่วไป (Means of Payment)” ดังนั้น เงินดิจิทัล 10,000 บาทจึงไม่เข้าข่ายเป็น Utility Token

อย่างไรก็ดี เงินดิจิทัล 10,000 บาทจะเทียบเคียงกับ E-money หรือเงินที่บันทึกในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ จึงมีความใกล้เคียง “E-money ประเภทบัญชี” ที่ต้องได้รับใบ อนุญาตจากคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ก่อนให้บริการซึ่งน่าจะไม่มีปัญหาด้านนี้ แต่สิ่งที่คิด คือการ “เติมเงิน” เข้าไปล่วงหน้าในระบบจะทำได้หรือไม่สำหรับนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพราะงบ ประมาณ 560,000 ล้านบาทมาจากการตั้งสำรองงบประมาณที่คาดว่าจะได้มาจากภาษีที่จะเก็บได้ในปี 2567 หรือภาษีในตอนสิ้นสุดโครงการ ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถเติมเงินไปล่วงหน้าก่อนได้ ทั้งนี้ต้องรอรายละ เอียดฉบับเต็มจากพรรคเพื่อไทย

อย่างไรก็ตามนโยบายนี้อาจจะมีความท้าทายที่ต้องแก้ไขในเรื่องเงินเฟ้อ กฎหมาย และเทคโนโลยีที่ใช้ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียด ฉบับเต็มจากพรรคเพื่อไทยว่าการใช้จริงจะเป็นอย่างไร อาจมีการเปลี่ยนแปลงการใช้งานซึ่งต่างจากที่ได้วิเคราะห์ก็เป็นไปได้ ดังนั้นขณะนี้ “ห้ามดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ชื่อ เงินดิจิทัล 10,000 บาท ทั้งสิ้น” เพราะมีโอกาสโดนไวรัสดูดเงินจากมือถือได้ และรอแถลงการณ์จากทางพรรคเพื่อไทยโดยตรงเท่านั้น

ใช้ดิจิทัลวอลเล็ตปี 2567 ไม่ต้องกู้เพิ่ม 

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการ Digital Wallet หรือเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้ ” ว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเริ่มในปี 2567 เป็นระบบการชำระเงินแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นมา ซึ่งต้องใช้เวลาทำระบบ ทดสอบระบบความมั่นคง ความปลอดภัย เสถียรภาพ และการจัดสรรงบประมาณ โดยประเมินว่าจะต้องดำเนินการภายในครึ่งปี 2567 เพื่อให้ทันในช่วงเทศกาลสงกรานต์

สำหรับประเด็นที่สงสัยกันว่าเงินดิจิทัล 10,000 บาท นั้นจะมีวิธีใช้อย่างไร โอนเข้าบัญชีธนาคารได้หรือไม่นั้น เบื้องต้นแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่มีโทรศัพท์มือถือ หรือสมาร์ทโฟนจะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น จากนั้นใส่หมายเลขบัตรประชาชน ซึ่งเงินดิจิทัลจะขึ้นมาอัตโนมัติและสามารถนำไปใช้จ่ายได้ ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน ให้ใช้บัตรประชาชนควบคู่กับ QR Code ก็สามารถไปใช้จ่ายได้ ซึ่งมูลค่าของเงินเข้าไปอยู่ในบัญชีดิจิทัลวอลเล็ตจึงไม่าสามารถกดเป็นเงินสดได้

" การจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้กับดิจิทัลวอลเล็ต จะมาจากภาษีที่เพิ่มขึ้น จากขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น, ภาษีที่เกิดจากการหมุนเวียนในโครงการนี้ ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีนิติบุคคล รวมถึงการจัดสรรงบประมาณ ซึ่งหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ศึกษาแล้วประเมินว่า เม็ดเงิน 5.6 แสนล้านบาท ไม่จำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มเพื่อใช้ในโครงการนี้ "นายเผ่าภูมิแจง

อย่างไรก็ดี ระบบดิจิทัลวอลเล็ตนี้ จะสร้างโดยรัฐบาลไม่เกี่ยวกับเอกชน อาจจะมีการจัดซื้อจัดจ้างหรือให้หน่วยงานภาครัฐเป็นตัวทำ ต้องดูความเหมาะสมถึงความเป็นไปได้ และต้องมีการประสานกันพอสมควร เพราะจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่ทำไว้ให้ประเทศ เสมือนแอปฯเป๋าตังค์ภายใต้เทคโนโลยีที่ทำผ่านบล็อกเชน

ล่าสุดนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เผยถึงเรื่องการให้กระเป๋าเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาทว่าจะเดินหน้าเต็มตัวแน่นอน โดยจะต้องดูรายละเอียดพร้อมกับเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาพบปะพูดคุยกันเพื่อจะรวบรวมข้อมูล เป็นการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการผลักดันนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ก่อนจะเดินหน้าและคาดหวังว่าเรื่องนี้จะดำเนินการได้ไตรมาสแรกปี 67


กำลังโหลดความคิดเห็น