การเลือกลงทุนในกลุ่มหุ้นปันผลสูงยังคงเป็นที่นิยมของบรรดานักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คัดผ่าน 3 ปัจจัย คือ 1.Dividend Yield อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ตั้งแต่ต้นปี 2566 สูงเกินกว่า 7% 2.เป็นหุ้นที่มีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่า และ 3.เป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปสูงเกินหมื่นล้าน ซึ่งมีทั้งสิ้น 11 หลักทรัพย์ เรียงลำดับตามมาร์เกตแคปสูงไปหาน้อย
1.บมจ.บ้านปู (BANPU ) มาร์เกตแคป 74,819.33 ล้านบาท เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 12.62% ส่วนเงินปันผลปี 65 คือ 2.34% และปี 64 คือ 2.12% ค่า P/E 3.38 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -35.40% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 8.85 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 15.00/7.90 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จับตาไตรมาส 4/66 ซึ่งจะมีปัจจัยหนุนจากการ Restocking สินค้าพลังงานก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว รวมทั้งมี upside จากแผน Spin-off เพื่อนำ BKN เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ และความสำเร็จโครงการ CCS ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์แนะนำรอจังหวะ
2.บมจ.ศุภาลัย (SPALI ) มาร์เกตแคป 41,404.75 ล้านบาท เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 6.97% ส่วนเงินปันผลปี 65 คือ 5.13% และปี 64 คือ 4.41% ค่า P/E 5.27 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -12.76% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 21.20 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 25.25/18.50 บาท
SPALI ครึ่งปีหลังของปี 66 บริษัทมั่นใจภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกโดยเฉพาะการเติบโตของสภาพเศรษฐกิจและการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้บริษัทเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้านบาท
3.บมจ.แสนสิริ (SIRI) มาร์เกตแคป 33,585.97 ล้านบาท เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 6.91% ส่วนเงินปันผลปี 65 คือ 3.40% และปี 64 คือ 3.25% ค่า P/E 5.31 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ +15.91% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 2.04 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 2.10/1.08 บาท
SIRI ยังคงแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมดในปีนี้ไว้ที่ 7.5 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 46%YoY) SIRI ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 1H66 ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคม 2566 คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.3%
4.บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) มาร์เกตแคป 28,450.56 ล้านบาท เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 7.16% ส่วนเงินปันผลปี 65 คือ 7.27% และปี 64 คือ 7.38% ค่า P/E 8.42 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -1.52% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 13.00 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 14.00/11.80 บาท
ปัจจุบันทางกลุ่มประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทั้งยอดโอนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และด้านเฮลท์แคร์ ที่มีการเติบโตที่สูงขึ้น และยอดคำสั่งซื้อและติดตั้ง (Backlog) แผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำของอินโน พรีคาสท์ ทะลุกว่า 2,200 ล้านบาท
5.บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) มาร์เกตแคป 28,728.00 ล้านบาท เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 7.06% ส่วนเงินปันผลปี 65 คือ 7.35% และปี 64 คือ 6.49% ค่า P/E 9.26 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ +0.59% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 3.42 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52สัปดาห์ คือ 3.76/3.20 บาท
ผู้บริหารเผยแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 3/66 อาจชะลอตัวลงจากไตรมาส 2/66 จากการปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า TG8 เป็นระยะเวลา 1 เดือน ในช่วงไตรมาส 3/66 กระทบปริมาณขายไฟที่ลดลงไตรมาส 3/66 อย่างไรก็ตาม บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะเห็นการฟื้นกลับมาอย่างโดดเด่นในช่วงไตรมาส 4/66 หลังจากโรงไฟฟ้า TG8 กลับมาผลิตไฟฟ้าตามปกติ
6.บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) มาร์เกตแคป 26,989.98 ล้านบาท เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 7.18% ส่วนเงินปันผลปี 65 คือ 6.21% และปี 64 คือ 8.84% ค่า P/E 7.99 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ +1.18% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 17.10 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 21.00/16.40 บาท
แนวทางการดำเนินงานครึ่งหลังปี 2566 ทาง TASCO ได้มีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับซัปพลายที่บริษัทจัดหาได้ โดยจากนี้จะมุ่งทำตลาดในกลุ่มสินค้าพรีเมียมให้มากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มโปรดักต์ที่ผลิตได้ ตลอดจนสนับสนุนอัตราผลตอบแทน (ยิลด์) ให้อยู่ในระดับที่ดีอีกทางหนึ่ง
7.บมจ.ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป (TFG) มาร์เกตแคป 22,545.98 ล้านบาท เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 10.19% ส่วนเงินปันผลปี 65 คือ 1.74% และปี 64 คือ 1.74% ค่า P/E 6.61 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -24.66% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 3.88 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 6.90/3.56 บาท
งบครึ่งปีรายได้โต 20% จากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากยอดขายธุรกิจร้านค้าปลีกผลตอบรับคึกคัก มั่นใจแนวโน้มรายได้ปี 66 เติบโตแตะระดับนิวไฮ ขยายสาขาธุรกิจค้าปลีก "ร้านไทยฟู้ดส์ เฟรช มาร์เก็ต" สำหรับจำหน่ายไก่-หมูสด สนับสนุนความสามารถทำกำไรเพิ่ม
8.บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) มาร์เกตแคป 22,425.60 ล้านบาท.เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 14.39% ส่วนเงินปันผลปี 65 คือ 19.67% และปี 64 คือ 7.26% ค่า P/E 8.40 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -30.81% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 14.60 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 26.00/12.10 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังคาดฟื้นตัวจากระดับสินค้าคงคลังของลูกค้ายุโรปและสหรัฐฯ กลับสู่ระดับปกติ หนุนการกลับมาสั่งซื้อ และคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 66 ที่ 20 บาท ระยะสั้นราคาหุ้นถูกกดดันจากงบอ่อนแอ และยังขาดประเด็นบวกหนุน
9.บมจ.อาร์ ซี แอล (RCL) มาร์เกตแคป 17,901.00 ล้านบาท เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 32.71% ส่วนเงินปันผลปี 65 คือ 19.51% และปี 64 คือ 1.02% ค่า P/E 1.68 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -29.76% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 21.60 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 35.00/21.20 บาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ระบุว่า แนวโน้มค่าระวางเรือมีทิศทางที่ดีขึ้น จะส่งผลดีต่อ RCL ขณะเดียวกันบริษัทได้เน้นบริหารต้นทุนการผลิต ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันยังเทรดต่ำกว่าราคาบุ๊กแวลู ปัจจุบันอยู่ที่ 55 บาท ยังคงแนะนำทยอยสะสม
10.บมจ.ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า (STANLY) มาร์เกตแคป 14,788.63 ล้านบาท เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 10.31% ส่วนเงินปันผลปี65 คือ 4.58% และปี 64 คือ 3.14% ค่า P/E 8.53 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ +4.04% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 193.00 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 226.00/165.50 บาท
บล.พาย คาด STANLY ที่มีความพร้อมในการ รับคําสั่งซื้อของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า (EV) ที่จะเข้ามาในอนาคต
11.บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) มาร์เกตแคป 13,799.73 ล้านบาท เงินปันผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี (YTD) 20.11% ส่วนเงินปันผลปี 65 คือ 10.87% และปี 64 คือ -% ค่า P/E 6.00 เท่า ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -45.03% ราคา ณ 25 ส.ค.66 ปิด 8.85 บาท ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 16.80/8.25 บาท
บล.กสิกรไทย คงมุมมองบวกต่อกำไรครึ่งหลังปีนี้ที่คาดจะฟื้นตัวขึ้นหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และการกลับมาสต๊อกสินค้าแม้ TC rate อ่อนแออยู่ในระดับขาดทุนแนะนำ “ซื้อ” ด้วย TP ที่ 12.50 บาทปัจจัยหนุนคาดจะมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและอุปทานที่คาดโตช้าลงในปี 67
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่า 11 หุ้นปันผล เหล่านี้ในปลายปีจะมีอัตราผลตอบแทนราคาเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?