ธปท.เผยสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ติดลบครั้งแรกหลังเกิดวิกฤตโควิด NPL รถยนต์เพิ่มขึ้นจาก 1.89% ในไตรมาสก่อนหน้ามาเป็น 2.05% สินเชื่อรายย่อยกลุ่มอื่นมี NPL ทรงตัว ส่วนเอสเอ็มอีพบการเพิ่มขึ้นของ NPL เล็กน้อยจาก 6.65% เป็น 6.67% เอ็นพีแอลกลุ่มรถพุ่งแตะ 2.05% ยันแบงก์ยังแกร่ง เงินกอนทุนเกินเกณฑ์ สำรองแน่น
น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า สินเชื่อระบบ ธพ. ไตรมาส 2 ปี 66 ขยายตัวติดลบเป็นครั้งแรกหลังจากวิกฤตโควิดที่ผ่านมา โดยในช่วงโควิดมีการเร่งปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ ซึ่งผลสำคัญมาจากการชำระคืนหนี้เดิมของภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจ SME และภาครัฐ โดยเฉพาะสินเชื่อตาม พ.ร.ก. soft loan ที่ทยอยครบกำหนดตั้งแต่ เม.ย.65-เม.ย.66 ที่ผ่านมา อีกส่วนหนึ่งเป็นการโอน port สินเชื่อไปบริษัทลูกในกลุ่มตามแผนการปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจของธนาคารพาณิชย์บางแห่ง หากบวกกลับส่วนที่โอนออก สินเชื่อระบบ ธพ. ยังขยายตัว 0.4% อย่างไรก็ดี การปล่อยสินเชื่อใหม่ยังปรับเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ภาพรวมธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 2 ปี 2566 ระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง โดยสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ปี 2566 หดตัวเล็กน้อย 0.4% จากระยะเดียวกันปีก่อน จากการทยอยชำระคืนหนี้ของภาคธุรกิจหลังเร่งขยายตัวต่อเนื่องเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงโควิด โดยเฉพาะการชำระคืนสินเชื่อ SMEs (รวม soft loan) และภาครัฐ ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่ส่วนหนึ่งระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ ประกอบกับมีการบริหารจัดการคุณภาพหนี้ของธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ดี สินเชื่อยังขยายตัวได้จากธุรกิจขนาดใหญ่กลุ่ม holding รวมถึงสินเชื่อรายย่อยพอร์ตที่อยู่อาศัยและพอร์ตส่วนบุคคลเป็นสำคัญ ด้านคุณภาพสินเชื่อด้อยลงเล็กน้อยในสินเชื่อ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภค โดยธนาคารพาณิชย์บริหารจัดการคุณภาพหนี้และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้ยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (non-performing loan: NPL หรือ stage 3) ไตรมาส 2 ปี 2566 ลดลงมาอยู่ที่ 492.3 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 2.67 % ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (significant increase in credit risk : SICR หรือ stage 2) อยู่ที่ 6.08% ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนที่อยู่ที่ 6%
“การเพิ่มขึ้นของ NPL ในไตรมาส 2/66 พบว่า สินเชื่อรถยนต์มีสัดส่วน NPL เพิ่มขึ้นจาก 1.89% ในไตรมาสก่อนหน้ามาเป็น 2.05% ในไตรมาสนี้ ขณะที่สินเชื่อรายย่อยกลุ่มอื่นมี NPL ทรงตัว ส่วนเอสเอ็มอีพบการเพิ่มขึ้นของ NPL เล็กน้อยจาก 6.65% เป็น 6.67%” ผู้ช่วยผู้ว่าการกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 ปรับดีขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนทางการเงินปรับเพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินรับฝากและ FIDF Fee กลับสู่ระดับปกติ รวมถึงค่าใช้จ่ายดำเนินงานและค่าใช้จ่ายสำรองที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ หากเทียบไตรมาสก่อนกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นจากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาล และรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของ SMEs และครัวเรือนบางกลุ่มที่ยังมีฐานะการเงินเปราะบางจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นและรายได้ที่ฟื้นตัวช้า โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 1 ปี 2566 ลดลงเล็กน้อยตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ปรับลดลงต่อเนื่อง และความสามารถในการทำกำไรปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากภาคการผลิต โดยต้องติดตามความเสี่ยงจากภาคการส่งออกที่ชะลอลงตามเศรษฐกิจโลก ภาคการท่องเที่ยวที่ต้องมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และภาคก่อสร้างที่ต้องติดตามนโยบายของภาครัฐ
ทั้งนี้ สถาบันการเงินยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มเปราะบาง แม้มาตรการแก้หนี้ระยะยาวในช่วงโควิดจะสิ้นสุดในสิ้นปี 2566 ลูกหนี้ที่มีปัญหายังสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนที่สิ้นสุดเป็นเรื่องการผ่อนปรนหลักเกณฑ์กำกับดูแลเพื่อลดต้นทุนให้สถาบันการเงินเท่านั้น
นอกจากนี้ ธปท. จะเร่งออกมาตรการเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ซึ่งจะทำอย่างครบวงจรและถูกหลักการ ไม่เพิ่มภาระลูกหนี้ในระยะยาว โดยมาตรการที่จะบังคับใช้ในปี 2567 คือ การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (responsible lending) ที่รวมถึงการดูแลหนี้เรื้อรัง (persistent debt) ตลอดจนมาตรการอื่นๆ ที่ ธปท. จะดำเนินการในระยะต่อไป ทั้งการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้ (risk-based pricing : RBP) และการกำหนดภาระหนี้ต่อรายได้ (debt service ratio : DSR) ซึ่งทั้ง 3 มาตรการจะช่วยเสริมกันในการปรับพฤติกรรมของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ตลอดวงจรหนี้ เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยให้ลดลงสู่ระดับที่ยั่งยืน ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา อาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน