ภาพรวมครึ่งปีหลังหุ้นกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์โดดเด่นต่อเนื่อง รับอานิสงส์ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวหนุนสายการบินเติบโตก้าวกระโดด ขนส่งที่ระบบรางปริมาณผู้โดยสารยังโดดเด่น ส่วนสายเรือค่าระวางและดีมานด์ยังมีต่อเนื่อง
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวส่งผลให้ผู้ประกอบการด้านขนส่ง และโลจิสติกส์หลายรายได้รับอานิสงส์ผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อนหน้า หรือช่วงเดียวกันในปีก่อน อานิสงส์ที่เกิดขึ้นส่งผลดีมาถึงบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในกลุ่มขนส่ง และโลจิสติกส์มีผลประกอบการและราคาหุ้นที่โดดเด่นไปด้วย หลังพบว่าหลายบริษัทมีแนวโน้มในการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังที่สดใส จนส่งผลให้นักวิเคราะห์ออกมาประเมินทิศทางธุรกิจและเริ่มแนะนำนักลงทุน
SJWD เล็งดีล M&A ต่อยอดธุรกิจ
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SJWD) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ คาดจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 6.19 พันล้านบาท โดยธุรกิจคลังสินค้าทั่วไปยังมีอัตราการเช่าพื้นที่ในระดับที่ดี ขณะคลังสินค้าอันตรายมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ด้านการขนส่งโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ซีเมนต์และถ่านหินนั้นมองว่าที่ผ่านมาด้วยการผลิตซีเมนต์ที่ชะลอตัวของลูกค้าทำให้การใช้บริการดังกล่าวลดลง คาดว่าไตรมาส 3 ปริมาณการใช้บริการขนส่งสินค้ากลุ่มดังกล่าวจะดีขึ้น โดยยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท
บล.หยวนต้า แนะนำ "ซื้อ" ประเมินว่ากำไรไตรมาส 2 ออกมาน่าผิดหวังอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงยังมีค่าใช้จ่ายในการ M&A กับ SCGL ค่อนข้างมาก แต่คาดว่าเป็นจุดต่ำสุดแล้ว โดยไตรมาส 3 คาดว่าจะฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำและทำ New High ได้อีกครั้งในไตรมาสสุดท้ายจากฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และถ่านหิน พบว่าราคาหุ้นยังมี Upside gain 16.8% แม้จะปรับประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าลดลง 28%
WICE กลับสู่ High Season
นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE) กล่าวว่า ประเมินผลงานงวดครึ่งปีหลังปี 2566 สภาพเศรษฐกิจไทยน่าจะกลับมาฟื้นตัวประกอบกับการคาดการณ์การนำเข้า ส่งออกจะปรับตัวดีขึ้น อีกทั้งเป็นช่วง High Season ของธุรกิจโลจิสติกส์ และประเทศคู่ค้าหลักของบริษัทอย่างสหรัฐอเมริกา และจีน การนำเข้าส่งออกกำลังปรับตัวดีเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (Cross Border Service) นับว่าเป็นธุรกิจที่เป็นไฮไลต์ คาดว่าจะเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะจีน ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ จึงคาดว่าผลการดำเนินงานจะเติบโตขึ้นช่วงครึ่งปีหลังตามการเติบโตในธุรกิจโลจิสติกส์ รวมทั้งการขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ
บล.ทิสโก้ ประเมินว่า จากผลประกอบการที่ออกมาแย่กว่าคาดในครึ่งแรกปี 2566 ปรับประมาณการรายได้ปี 2566-2568 ลง เป็น 26% 26% และ 25% และประมาณการกำไรที่ 41% 37% และ 39% ตามลำดับ โดยปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นไปที่ 18.4-18.6% เทียบกับก่อนหน้าที่ 16% ขณะที่สมมติฐานค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้อยู่ที่ 9.5-10% เทียบกับก่อนหน้าที่ 7.5% แนะนำ “ขาย”
TTA ค่าระวางเรือโตหนุนผลประกอบการ
นายคทารัฐ สุขแสวง ผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ.โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (TTA) ประเมินภาพรวม กลุ่มธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกองช่วง 6 เดือนหลังปี 2566 ว่า จะปรับตัวที่เพิ่มขึ้นกว่าเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกปี ผลมาจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจขนส่งสินค้าแห้งเทกอง ประกอบกับความต้องการใช้งานการขนส่งทางเรือยังคงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่าอัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองในอุตสาหกรรมเฉลี่ยในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้อยู่ที่ช่วงระหว่าง 11,000-12,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อวันต่อลำ ทรงตัวระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในสถานการณ์ปกติ ดังนั้น จึงคาดว่าระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) ของบริษัทจะมีแนวโน้มทรงตัวในระดับที่ดีได้ต่อไป
บล.ฟิลลิป ประเมินทิศทางธุรกิจ TTA ว่า แม้ช่วง ก.ค.-10 ส.ค. ดัชนีค่าระวางเรือ BSI เฉลี่ยอ่อนลงจากไตรมาส 2 ที่ 25.6% คาดว่าปลายไตรมาส 3 ปีนี้จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นตามฤดูกาลขนส่งสินค้าก่อนหยุดปลายปี และเป็นช่วงขนส่งธัญพืช อีกทั้ง MML มี Backlog สูงขึ้นเป็น 337 ล้านดอลลาร์ จาก 320 ล้านดอลลาร์เมื่อไตรมาสแรกที่ผ่านมา และคาดว่าจะทยอยรับรู้งานในครึ่งปีหลังที่เชื่อว่าจะสูงกว่าครึ่งปีแรก แนะนำ “ซื้อ”
PSL เชื่อมั่นเติบโตตามการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก
นายคาลิด มอยนูดดิน ฮาชิม กรรมการผู้จัดการ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) คาดการณ์ว่าความต้องการขนส่งสินค้าเทกองทางทะเล ช่วงครึ่งหลังแนวโน้มฟื้นตัวสอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณการการเติบโตของ GDP โลกทั้งปี 2566 ที่ 3% ส่วน GDP ของจีนจะเติบโต 5.2% ทำให้ยังคงคาดการณ์ว่าปริมาณเรือเทกองของกองเรือสินค้าเทกองทั่วโลกทั้งปี 2566 จะเติบโตราว 3.6% แต่จะเริ่มชะลอตัวลงเหลือราว 1.8% ในปี 2567 เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการปล่อยคาร์บอนใหม่ภายใต้กรอบการประเมินประสิทธิภาพเชื้อเพลิงของเรือ "EEXI" และ "CII" ขณะที่ความต้องการขนส่งสินค้าแห้งเทกองโลกทั้งปี 2566 และปี 2567 จะหดตัวลงราว 2-2.5% เทียบปีก่อน ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการขนส่งสินค้ากับปริมาณเรือสินค้าเทกองแห้งจะเข้าสู่ภาวะสมดุลในปี 2567 ซึ่งจะเป็นปัจจัยลดความผันผวนของดัชนีค่าระวางเรือ (TC rate) ได้อย่างมีนัยสำคัญ
บล.กสิกรไทย คาดค่าระวางเรือมีแนวโน้มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3 ปีนี้ หนุนจากช่วง High Season ขณะที่การบริโภคและภาคอสังหาฯ ในจีนที่มีแนวโน้มทยอยฟื้นขึ้นจะยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่จะตามมาในอนาคต ส่วนประเด็นสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงจากปรากฏการณ์ลานีญาสู่เอลนีโญอาจช่วยกระตุ้นอุปสงค์เรือเทกองอีกแรง เพราะฝนที่ตกหนักในสหรัฐฯ อาร์เจนตินา และบราซิลจะหนุนการเพาะปลูกและผลผลิตจำพวกธัญพืชได้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรโดยรวม
ขณะที่อุณหภูมิที่สูงกว่าปกติในอินเดีย ยุโรป และจีนอาจช่วยกระตุ้นอุปสงค์การนำเข้าถ่านหินได้ เพราะสภาวะดังกล่าวจะช่วยฉุดการผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำลง ทั้งนี้ Clarkson Research ประเมินใหม่ว่าปริมาณอุปสงค์การส่งสินค้าผ่านเรือเทกองในแง่ของตัน-ไมล์จะโตขึ้น ให้เบื้องต้นคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปี 2566 ที่ 955 ล้านบาท ลดลงจากฐานสูงปี 2565 ที่ผ่านมา แต่จะเร่งตัวขึ้น 56.33% แตะ 1,493 ล้านบาทในปี 2567 จึงแนะนำ "ซื้อ"
RCL ขยายตลาด-เพิ่มกองเรือ
นายทวินโชค ตันธุวนิตย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อาร์ ซี แอล (RCL) กล่าวว่า การแข่งขันตลาดการขนส่งทางทะเลเพิ่มสูงขึ้น บริษัทปรับตัวโดยขยายไปตลาดแอฟริกา จากปัจจุบันให้บริการขนส่งสินค้าภายในเอเชีย พร้อมกับเริ่มธุรกิจขนส่งตู้คอนเทนเนอร์แบบห้องเย็น (Reefer Container) และปรับปรุงกองเรือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทได้ทำสัญญาซื้อเรือใหม่ และเรือมือสองขนาด 1,900 ทีอียู และ 1,700 ทีอียู ตามลำดับ ได้รับเรือทั้ง 2 ลำเข้าประจำกองเรือในไตรมาส Q2 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกองเรือ ซึ่งแนวโน้มค่าระวางเรือมีทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อ RCL และเน้นบริหารต้นทุนการผลิตยังช่วยให้กำไรขั้นต้นโดดเด่น ปัจจุบันราคาหุ้นปัจจุบัน ยังเทรดต่ำกว่าราคาบุ๊กแวลู ทำให้นักวิเคราะห์แนะนำ “ทยอยสะสม”
BA ครึ่งปี 2566 โกยรายได้ต่อเนื่อง
นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมการบินโลกในช่วงครึ่งปีแรกปี 2566 ยังคงเป็นไปในทิศทางบวก โดยสายการบินในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกมีอัตราของปริมาณการขนส่งผู้โดยสารเติบโตมากที่สุด ซึ่งตัวแปรสำคัญจากการเปิดประเทศของจีน และภาคการท่องเที่ยวในไทยช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกปี 2565 ทำให้บริษัทมีกำไรจากผลการดำเนินงาน 2.02 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 259% และผลกำไรสุทธิ 1.54 พันล้านบาท
บล.ทิสโก้ ประเมินทิศทางธุรกิจ BA ว่าแนะนำ “ซื้อ” หลังประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้ออกมาน่าพอใจ และคาดว่าน่าจะยังคงดำเนินต่อไป โดยได้รับการสนับสนุนจากแนวโน้มเชิงบวกในปี 2566-2568 ทั้งนี้คาดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากอัตรากำไรที่สูงขึ้นจากการเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทาง รวมถึงการจัดการโหลดแฟกเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับต้นทุนให้เหมาะสม อย่างไรก็ตาม การลดจำนวนฝูงบินของ BA ช่วยให้สามารถสร้างผลประกอบการได้ นำไปสู่การปรับรายได้ในปี 2566-2567
THAI ออกจากแผนฟื้นฟูเร็วขึ้น 1 ไตรมาส
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.การบินไทย (THAI) กล่าวถึงความคืบหน้าแผนฟื้นฟูกิจการว่า ขณะนี้ THAI ไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อนำมาเสริมสภาพคล่องของบริษัทแล้ว เพราะปัจจุบัน THAI มีกระแสเงินสดที่ 5.11 หมื่นล้านบาท ซึ่งสามารถจะชำระหนี้ได้ตามแผน คงเหลือเพียงการแปลงหนี้เป็นทุนและการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นเดิม ซึ่งประเมินช่วงกลางปี 2567 โดยต้องรอดูผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ก่อน
สำหรับผลประกอบการช่วงครึ่งปีแรกปีนี้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดย THAI มีกำไรสุทธิ 1.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 6.45 พันล้านบาท โดยมีรายได้รวม 7.88 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 141.2% ขนส่งผู้โดยสารรวม 6.87 ล้านคน เพิ่มขึ้น 126.7% มีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสารเฉลี่ย 81.4% เพิ่มขึ้น 32.2% ขณะช่วงครึ่งปีหลังของปีรายได้จะสูงกว่าช่วงครึ่งปีแรกแน่นอน เพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) แล้ว อีกทั้งช่วงครึ่งปีหลังนี้ THAI จะรับมอบเครื่องบินแอร์บัส A350-900 เพิ่มอีก 6 ลำ เป็นการเช่าดำเนินการทั้งหมด จากช่วงครึ่งปีแรกที่มีฝูงบินให้บริการ 67 ลำ (แบบลำตัวกว้าง 47 ลำ และลำตัวแคบ 20 ลำ) จึงมั่นใจว่าทั้งปี 2566 ผลการดำเนินงานของ THAI จะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยมีรายได้ที่ 1.6 แสนล้านบาท และขนส่งผู้โดยสารรวม 9 ล้านคน อีกทั้งมีโอกาสที่กำไรปี 2566 จะสูงกว่า 20,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานดังกล่าวเชื่อว่า THAI จะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้เร็วกว่ากำหนด 1 ไตรมาส จากเดิมที่คาดว่าจะออกจากแผนช่วงไตรมาส 4 ปี 67 และเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้อีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เป็นออกจากแผนฟื้นฟูได้ไตรมาส 3 ปี 67 และกลับเข้าเข้ามาเทรดครั้งช่วงไตรมาส 4 ปีหน้า
BEM สายสีเหลืองดันครึ่งปีหลังเติบโต
สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) กล่าวถึงภาพรวมของปริมาณการเดินทางในไตรมาสที่ 2 นั้นเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT ซึ่งเป็นไปตามสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ส่งผลให้ผู้คนกลับมาเดินทางได้เป็นปกติปริมาณของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่องหลังการเปิดประเทศ รวมถึงนโยบายส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวจากหน่วยงานภาครัฐ และการเปิดให้บริการของรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่ส่งต่อผู้โดยสารเข้าสู่สายสีน้ำเงิน ณ จุดเชื่อมต่อสถานีลาดพร้าวนั้น รายได้ค่าโดยสารจะเพิ่มชัดเจนในไตรมาสที่ 3 ส่วนรายได้จากการรับจ้างเดินรถโครงการสายสีม่วงเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามที่กำหนดในสัญญาสัมปทาน และรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์ โดยการเปิดพื้นที่ Metro Mall ให้เช่าพื้นที่โฆษณาและเช่าพื้นที่ร้านค้าปลีก 277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 70 ล้านบาท
บล.กรุงศรี ระบุว่า ผลงานกำไรของ BEM ไตรมาส 2 ออกมาแข็งแกร่งที่ 901 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปีก่อนและ 20% จากไตรมาสก่อน ต่ำกว่าประมาณการเล็กน้อย แต่สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ เพราะค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะเป็นช่วง Low Season ของทั้ง 2 ธุรกิจ (ทางด่วน และรถไฟฟ้า) โดยรวมแล้ว ผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ลดลงจากไตรมาสก่อน แต่บริษัทได้รับเงินปันผล 391 ล้านบาท จากบริษัทร่วม (TTW และ CKP) จึงทำให้กำไรเพิ่มขึ้น และคาดว่ากำไรในครึ่งหลังจะเร่งตัวขึ้น ผลของปัจจัยฤดูกาล และรับเงินปันผลเพิ่มอีกจาก TTW รวมทั้งกำไรจะเร่งตัวขึ้นจากธุรกิจรถไฟฟ้าที่อยู่ในขาขึ้น
BTS ปริมาณผู้โดยสารเติบโต
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการ บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) กล่าวว่า โดยหลังจากจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ทั้ง 23 สถานีแล้ว ทางบริษัทจะได้รับรายได้ตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด ที่ 75% รวมถึงจะได้รับเงินชำระคืนค่าก่อสร้างปีละ 2.5 พันล้านบาท ตลอดระยะเวลา 10 ปี โดยงวดปีบัญชี 2566-2567 (เม.ย.66-มี.ค.67) นี้จะได้รับชำระงวดแรก 2.5 พันล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะรับรู้รายได้ช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ถึงปีหน้า
ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ปริมาณผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้าสายสีเหลือง เฉลี่ยช่วง 3 ไตรมาสของงวดปีบัญชี 2566-2567 (ก.ค.66-มี.ค.67) ที่ราว 8 หมื่นเที่ยวคน จึงมั่นใจว่าปริมาณผู้โดยสารในระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สายสุขุมวิท) เฉพาะส่วนที่บริษัทได้รับสัมปทานเดินรถเฉลี่ยทั้งปีงบประมาณ 2566-2567 จะฟื้นแตะราว 7.5-8 แสนเที่ยวคนได้อย่างมีนัยสำคัญ
บล.บัวหลวง ระบุถึง BTS ว่า จะรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปีนี้และปีหน้า เติบโตได้ทั้งไตรมาสก่อนและปีก่อน หนุนจากปริมาณผู้โดยสารของ BTSGIF ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2566 ที่ราว 46.6 ล้านเที่ยว เพิ่มขึ้น 92%จากปีก่อน และเพิ่มขั้น 2% จากไตรมาสก่อน ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าโดยสารเฉลี่ยอยู่ที่ 32.90 บาทต่อเที่ยวเพิ่มขึ้น หนุนให้รายได้ของ BTS เพิ่มขึ้น เบื้องต้นคาดการณ์กำไรหลักงวดปี 2566 (เม.ย.66-มี.ค.67) ที่ 1,721 ล้านบาท จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"
AOT ฟื้นตัวฉลุยรับนักท่องเที่ยวทะลัก
นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การท่าอากาศยานไทย (AOT) กล่าวว่า บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3 ปีนี้อยู่ที่ 3.15 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.36 พันล้านบาท จากปี 65 ขาดทุน 2.2 พันล้านบาท จากรายได้จากการขายหรือการให้บริการเพิ่มขึ้น 177% ซึ่งเพิ่มขึ้นทั้งรายได้เกี่ยวกับกิจการการบิน และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับกิจการการบิน ต ทำให้งวด 9 เดือนแรกบริษัทมีรายได้เกี่ยวกับกิจการการบินอยู่ที่ 1.59 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.17 หมื่นล้านบาท หรือโต 282% จากปีก่อน
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ไตรมาส 3 AOT มีกำไร 3.15 พันล้านบาท สัดส่วนรายได้ เปลี่ยนแปลงไปโดยมีรายได้ที่เกี่ยวกับการบินที่ 47% และรายได้ที่ไม่เกี่ยวกับการบินที่ 53% เทียบกับ 44% และ 56% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ถือเป็นพัฒนาการดีขึ้นจากการกลับมาเปิดประเทศอีกครั้งในหลายประเทศจะเป็นปัจจัยหนุนหลักต่อกำไรของ AOT ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จึงคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ที่ 1.39 หมื่นล้านบาท และที่ 2.70 หมื่นล้านบาทปี 2567 และเชื่อว่าประมาณการกำไร AOT อาจมี Downside จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยชะลอตัวเพราะปกติชาวจีนเป็นผู้ซื้อหลัก ในร้าน Duty Free ในไทย คงคำแนะนำ "ซื้อ"
AAV ผู้โดยสารฟื้นตัวต่อเนื่อง
นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้าการขนส่งจำนวนโดยสาร 20 ล้านคน ในปี 2566 โดยจำนวนผู้โดยสารภายในประเทศคาดว่าจะฟื้นตัวได้เท่ากับระดับปี 2562 เพราะตลาดในประเทศ อัตราส่วนการขนส่งผู้โดยสาร (Load Factor) สูงถึงระดับ 94% อีกทั้งส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในประเทศไทยที่ 37% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง
ขณะที่ตลาดต่างประเทศฟื้นตัวจากนักท่องเที่ยวจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้น เชื่อว่าเป้าหมายนักท่องเที่ยวน่าจะทำได้ และจำนวนเครื่องบินที่ให้บริการปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 52 ลำจากฝูงบินทั้งสิ้นที่มีอยู่กว่า 54 ลำ โดยมีแผนงานลดต้นทุนการดำเนินงานต่อหน่วยจากการเพิ่มอัตราการใช้งานเครื่องบินขึ้นเป็น 12.5 ชั่วโมงต่อลำต่อวัน รวมถึงตั้งเป้าอัตราขนส่งผู้โดยสารที่ 87% จึงเชื่อว่าผลงานครึ่งปีหลังจะทำได้ตามเป้าหมาย
บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุถึง AAV ว่าแนวโน้มกำไรในครึ่งปีหลัง 2566 จะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบครึ่งปีแรก 2566 ส่วนปี 2567 รับปัจจัยหนุนจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น และการบริหารจัดการต้นทุนด้านเชื้อเพลิงได้ดี และอานิสงส์จากการเข้าถือหุ้น 100% ในไทยแอร์เอเชีย (Thai AirAsia : TAA) ส่งผลดีต่อ AAV คง คำแนะนำ "ซื้อ"