SCB CIO คาดประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่นเดือน ต.ค.นี้ มีแนวโน้มคงมาตรการ YCC ส่วนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก -0.1% มาที่ 0.0% อาจเกิดขึ้นช่วงกลางปี 2567 ด้านตลาดหุ้นญี่ปุ่นผันผวนระยะสั้นจากผลตอบแทนของ JGB ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น กดดันกำไรบริษัทจดทะเบียน ประกอบกับ เงินเยนมีแนวโน้มอ่อนค่าได้น้อยลง มีผลต่อกำไร/ขาดทุนจากค่าเงินของบริษัท มองตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดย JGB และเงินเยนจะมีเสถียรภาพมากขึ้น หุ้นกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จาก yield ที่เพิ่มขึ้น ปรับมุมมองตลาดหุ้นญี่ปุ่น เป็น Neutral ประเมินดัชนี TOPIX ใน 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ประมาณ 2,393 จุด
นายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB CIO) เปิดเผยว่า จากกรณีที่การประชุม ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) เดือน ก.ค. ได้คงเป้าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่น (JGB) อายุ 10 ปี หรือ Yield Curve Control : YCC ไว้ที่ 0% ในกรอบอ้างอิงเดิม ± 0.5% เพื่อให้การเคลื่อนไหวมีความยืดหยุ่นขึ้น โดยเปลี่ยนกรอบการซื้อ JGB อายุ 10 ปี อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield) อยู่ที่ 1.0% ทำให้เรามองว่า จะช่วยยับยั้งผลข้างเคียง (side effect) ด้านลบจากการใช้มาตรการ YCC ที่มีต่อตลาดตราสารหนี้ และความผันผวนในตลาดการเงินอื่นๆ ได้
ส่วนการประชุม BoJ ในเดือน ต.ค.นี้ SCB CIO มองว่า มีแนวโน้มสูงที่จะคงมาตรการ YCC ไว้ตามเดิม ขณะที่การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินครั้งถัดไป ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิก YCC หรือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก -0.1% มาอยู่ที่ 0.0% อาจเกิดขึ้นช่วงกลางปี 2567 ภายใต้สมมติฐานว่า ผลการเจรจาค่าจ้างในฤดูใบไม้ผลิ (shunto) เบื้องต้นออกมาสูงใกล้เคียงปีนี้ที่ 3.6% ซึ่งทำให้ BoJ มั่นใจว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มบรรลุเป้าหมายที่ 2% อย่างยั่งยืน
สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่น คาดว่าจะมีความผันผวนในระยะสั้นจาก yield ของ JGB ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น กดดันกำไรบริษัทจดทะเบียนญี่ปุ่นบางส่วน ประกอบกับเงินเยนมีแนวโน้มอ่อนค่าได้น้อยลง อาจไปกดดันความสามารถแข่งขัน และผลกำไร/ขาดทุนจากค่าเงินของบริษัทได้ อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไปตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ โดย JGB และเงินเยนมีเสถียรภาพมากขึ้น รวมทั้งจากหุ้นกลุ่มธนาคารมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จาก yield ที่เพิ่มขึ้น ทั้งกำไรปกติ (recurring profit) และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ทำให้ P/BV กลุ่มธนาคาร ปรับตัวดีขึ้น อีกทั้ง yield สินเชื่อใหม่ และสินเชื่อรีไฟแนนซ์ที่ดีขึ้น ทำให้ผลประกอบการได้รับแรงหนุนจากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ดีขึ้น และเราคาดว่า ข่าวร้ายการปรับนโยบายการเงินมีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยช่วงที่เหลือของปี
"เรามองว่ามี 4 ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นรออยู่ในระยะถัดไป ได้แก่ 1) ความคืบหน้าการปฏิรูปตลาดหุ้นญี่ปุ่น เน้นเรื่องธรรมาภิบาลมากขึ้น 2) แนวโน้มการฟื้นตัวของผลประกอบการบริษัท 3) ความคาดหวังว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ช่วงเดือน ก.ย.-พ.ย. และ 4) การปรับโครงการลงทุนเพื่อลดภาษีสำหรับประชาชนญี่ปุ่น ในปี 2567 ซึ่งอาจทำให้เงินลงทุนภายใต้โครงการนี้เพิ่มจาก 14 ล้านเยน/คน เป็น 18 ล้านเยน/คน”
ทั้งนี้ SCB CIO มองว่าจากปัจจัยหนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ยังมีอยู่ และราคาเป้าหมายของดัชนี TOPIX ที่ยังมีโอกาสปรับขึ้นจากระดับปัจจุบัน (upside) จึงปรับมุมมองบนตลาดหุ้นญี่ปุ่น จาก Slightly Negative มาเป็น Neutral หรือจากเดิมทยอยขาย เป็นหยุดขาย หรือถือไว้ก่อน โดยเราประเมินราคาเป้าหมายดัชนี TOPIX 12 เดือนข้างหน้า จะอยู่ที่ 2,393 จุด ซึ่งตัวเลขนี้มาจากการให้น้ำหนัก 70% กับปัจจัยเรื่องผลตอบแทนส่วนเพิ่มเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้น (Earnings yield gap) และราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ส่วนน้ำหนักอีก 30% คือปัจจัยมหภาค (Macro-based) ซึ่งมีผลต่อการลงทุนมากขึ้น เพราะบริษัทจดทะเบียนญี่ปุ่นพึ่งพารายได้ต่างประเทศระดับหนึ่ง