การประกาศงบการเงินไตรมาสที่ 2 ปลุกให้หุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH ร้อนแรงขึ้นทันที โดยนักลงทุนแห่ไล่ซื้อ จนราคาพุ่งทะยานอย่างโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม
BH ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ก่อนเปิดการซื้อขายวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยมีกำไรสุทธิ 1,747,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,165.95 ล้านบาท รวมงวด 6 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิ 3,331.198 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำสุทธิ 1,890.99 ล้านบาท
หุ้น BH พุ่งทะยานขึ้นขานรับการประกาศผลประกอบการทันที โดยมีแรงซื้อเข้ามาตั้งแต่เปิดการซื้อขายเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ราคาพุ่งทะยาน ก่อนปิดที่ราคา 246 บาท เพิ่มขึ้น 17 บาท หรือเพิ่มขึ้น 7.42% มูลค่าซื้อขาย 2,939.91 ล้านบาท
ราคา BH ที่ดีดตัวแรง ปลุกให้หุ้นบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เจ้าของโรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งเป็นหุ้นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ปัจจัยพื้นฐานใกล้เคียงกันขยับตามขึ้นมา โดยปิดที่ 29.25 บาท เพิ่มขึ้น 75 สตางค์
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์หลายสำนักหันมาแนะนำหุ้น BH พักหนึ่งแล้ว โดยให้เหตุผลสนับสนุนว่า งบการเงินไตรมาสที่ 2 จะมีผลกำไรเติบโต ซึ่งผลประกอบการที่ออกมาจริงเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา หุ้น BH เคยร้อนจัดมาแล้ว ราคาพุ่งขึ้นสร้างจุดสูงสุดในรอบปีที่ 256 บาท แต่อ่อนตัวลงและเคลื่อนไหวในระดับ 220 บาทมาอยู่นาน
ถ้าเทียบกับหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลด้วยกัน BH ไม่ได้เป็นเพียงหุ้นขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยพื้นฐานดี และอยู่ในความสนใจของนักลงทุนสถาบันการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยมีค่าพี/อี เรโช 31 เท่า อัตราเงินปันผลตอบแทน 1.53%
ผลกำไรที่เติบโตก้าวกระโดดในปี 2565 และ 6 เดือนแรกในปีนี้ ทำให้ค่าพี/อี เรโช BH ลดลง จากสิ้นปี 2564 ที่มีค่าพี/อี เรโช 144 เท่า ลดลงเหลือ 42 เท่าในปี 2565 และล่าสุดลดเหลือ 31 เท่า
ปี 2563 BH มีกำไรสุทธิ 1,204.14 ล้านบาท ปี 2564 มีกำไรสุทธิ 1,215.68 ล้านบาท ปี 2565 กำไรสุทธิ 4,938.22 ล้านบาท และ 6 เดือนแรกปีนี้กำไรเติบโตสูง
บทวิเคราะห์ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำให้ซื้อหุ้น BH โดยราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากโบรกเกอร์ 9 แห่ง อยู่ที่ 258 บาท โดยบางโบรกเกอร์ตั้งราคาเป้าหมายต่ำสุดที่ 230 บาท แต่โบรกเกอร์บางแห่งตั้งราคาป้าหมายที่ 280 บาท โดยราคาบนกระดานยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายเฉลี่ยของโบรกเกอร์
BH เป็นหุ้นโรงพยาบาลที่เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยราคาไม่มีความผันผวนมากนัก และสามารถจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ
โครงสร้างผู้ถือหุ้น ประกอบด้วย นักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ โดยมีกลุ่มโสภณพนิชถือหุ้นใหญ่ มีนักลงทุนรายย่อยจำนวน 11,559 ราย ถือหุ้นรวมกันสัดส่วน 65.05% ของทุนจดทะเบียน และจำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย BH ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยปิดสมุดทะเบียนเมื่อวันที่ 14 มีนาคมปี 2565 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่มีจำนวน 11,957 ราย
นักลงทุนรายย่อยที่ซื้อหุ้น BH มักถือเพื่อการลงทุนระยะยาว เก็บหุ้นไว้ติดพอร์ตโดยไม่หวั่นไหวกับราคาที่อาจแกว่งตัวลงในบางช่วง เพราะมีเงินปันผลเป็นปัจจัยรองรับ
ราคาหุ้นที่ขึ้นแรงรอบนี้เป็นการตอบรับผลประกอบการครึ่งปีแรกที่เติบโต แต่จะทะยานสู่นิวไฮได้หรือไม่ ผู้ถือหุ้น BH คงรอลุ้นกัน
