หุ้นไทยปิดตลาดพลิก +8.07 จุด นักวิเคราะห์มองดัชนีหนุนรับการเมืองเปลี่ยนเกมหลังพรรคก้าวไกลส่งไม้ต่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำตั้งรัฐบาล อีกทั้งผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารไตรมาส 2/66 ที่ออกมาดี มองกรอบการลงทุนแนวต้านที่ 1,540 จุด และแนวรับที่ 1,520 จุด แนะนักลงทุนติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศและการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 21 ก.ค.2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +8.07 จุด หรือ +0.53% โดยปิดตลาดที่ 1,529.25 จุด มูลค่าการซื้อขาย 51,702.48 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายหุ้นในวันนี้ดัชนีปรับตัวขึ้นเคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุด ที่ 1,532.47 จุด ในทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,516.75 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้น จำนวน 255 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลง จำนวน 208 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลง จำนวน 170 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า +1,154.24 ล้านบาท และบัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +293.65 ล้านบาท ในทางกลับกัน พบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -863.27 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิกว่า -584.62 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 8,153.60 ล้านบาท ปิดที่ 129.00 บาท ลดลง 4.50 บาท
2.BBL มูลค่าการซื้อขาย 2,873.87 ล้านบาท ปิดที่ 164.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
3.SCB มูลค่าการซื้อขาย 2,271.87 ล้านบาท ปิดที่ 110.50 บาท ลดลง 0.50 บาท
4.PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,764.54 ล้านบาท ปิดที่ 34.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท
5.AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,296.65 ล้านบาท ปิดที่ 71.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1. PTTEP ปิดที่ 158.00บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 1.61%
2.ADVANC ปิดที่ 222.00บาท เพิ่มขึ้น 2.00บาท หรือ 0.91%
3.SCC ปิดที่ 321.00บาท เพิ่มขึ้น 2.00บาท หรือ 0.63%
4.CBG ปิดที่ 71.50บาท เพิ่มขึ้น 1.75บาท หรือ 2.51%
5.TOP ปิดที่ 47.75บาท เพิ่มขึ้น 1.25บาท หรือ 2.69%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.KBANK ปิดที่ 129.00 บาท ลดลง 4.50 บาท หรือ 3.37%
2.HANA ปิดที่ 47.50บาท ลดลง 2.00บาท หรือ 4.04%
3.SNNP ปิดที่ 22.30บาท ลดลง 0.80บาท หรือ 3.46%
4.STA ปิดที่ 16.80บาท ลดลง 0.50บาท หรือ 2.89%
5.KCE ปิดที่ 38.25บาท ลดลง 0.50บาท หรือ 1.29%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,089.10 จุด เพิ่มขึ้น 13.07 จุด หรือ 0.63% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 945.22 จุด เพิ่มขึ้น 6.50 จุด หรือ 0.69% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 462.89 จุด เพิ่มขึ้น 4.63 จุด หรือ 1.01%
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการที่แกนนำรัฐบาลเปลี่ยนมาเป็นพรรคเพื่อไทย หลังจากพรรคก้าวไกลส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย ส่งผลต่อ sentiment บวกต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งถือว่าปรับตัวขึ้นสวนทางตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคที่เคลื่อนไหวบวกและลบสลับกัน
ขณะเดียวกัน ยังมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มแบงก์บางธนาคารที่รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/66 ออกมาดี รวมถึงมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานเข้ามาหนุนจากราคาน้ำมันที่กลับมาปรับเพิ่มขึ้น
ส่วนแนวโน้มในสัปดาห์หน้า คาดว่ามีโอกาสแกว่งตัวในทิศทางบวกต่อ แม้อัปไซด์จะค่อนข้างจำกัด โดยที่ยังคงต้องติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศต่อ และรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ว่าจะมีการส่งสัญญาณเกี่ยวดับดอกเบี้ยอย่างไร โดยให้แนวต้าน 1,540 จุด แนวรับ 1,520 จุด
ขณะที่ น ส.ดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน คาดตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัว หลังจากที่ Underperform เมื่อเทียบกับตลาดโลกมาต่อเนื่อง จากปัจจัยด้านการท่องเที่ยวในประเทศที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึง Fund Flow ที่จะกลับเข้ามาหลังจากจัดตั้งรัฐบาลเรียบร้อย คาดดัชนีหุ้นไทยปี 66 อยู่ที่ 1,450-1,630 จุด โดยมี Upside ราว 5% จากดัชนีปัจจุบัน เหมาะกับการเข้าสะสมหุ้นไทยในช่วงนี้
ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศในปีนี้คาดอยู่ที่ 28 ล้านคน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 16 ก.ค.66 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศแตะ 14.1 ล้านคน เฉพาะเดือน ก.ค. มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเฉลี่ย 80,000 คนต่อวัน สูงที่สุดของปี 66 ซึ่งภายในสิ้นปีคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าประเทศได้ตามเป้า โดยได้แรงหนุนจากไตรมาส 4/66 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เริ่มเข้ามาในประเทศมากขึ้น ซึ่งมีโอกาสที่จะสูงขึ้นอีกหากมีนโยบายปลดล็อกนักท่องเที่ยวจีนที่เป็นแบบกรุ๊ปทัวร์ เนื่องจากกลุ่มนี้ยังมีข้อจำกัดด้านต่างๆ อยู่
นอกจากนี้ ช่วงหลังเลือกตั้งที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเริ่ม rebound มาจากจุดต่ำสุดราว 1,470 จุด ภายในไม่ถึงเดือนหลังพรรคก้าวไกลมีท่าทีประนีประนอมมากขึ้นในการพูดคุยเจรจากับพรรคร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล บ่งชี้ว่าสถานการณ์ความไม่แน่นอนต่างๆ คลี่คลายไปแล้วบ้าง ถึงแม้ว่ายังมีความเสี่ยงอยู่ แต่ไม่ว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะเป็นอย่างไรความสำคัญที่สุดคือการได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพและผลักดันเศรษฐกิจต่อไปได้ ตลาดตอบรับในเชิงบวกและนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ ความเสี่ยงจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ออกประกาศว่าโลกกำลังเผชิญสถานการณ์เอลนีโญแล้วและมีโอกาส 90% ที่จะต่อเนื่องไปจนถึงช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีผลกระทบต่อ GDP ในประเทศไทยอยู่ที่ 0.1% ในปี 66 และ 0.3-0.5% ในปี 67 ซึ่งมีผลกระทบแบบจำกัดและมีการประกาศออกมาล่วงหน้าทำให้ภาคธุรกิจพยายามที่จะหาวิธีการปรับตัวเพื่อจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้น