ตลาดที่อยู่อาศัยไทยในวันนี้ต้องยอมรับว่ากลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาน์เฮาส์ ซึ่งจับกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับบนระดับราคา 10-15 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงเป็นกลุ่มที่มีอัตราการขยายตัวดีที่สุด เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มที่มีความมั่นคงทางการเงิน และหน้าที่การงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงที่สถาบันการเงินต้องการดึงให้มาเป็นลูกค้ามากที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับกันว่ากลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้เมื่อคิดเป็นสัดส่วนแล้วมีจำนวนเพียง 10-20% ของตลาดเท่านั้น
ขณะที่กลุ่มตลาดมีขนาดใหญ่ที่สุดคือ กลุ่มกำลังซื้อระดับกลาง-ลงล่าง ในกลุ่มที่มีกำลังซื้อ 0.8 แสนบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 2.5 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนมากถึง 40-50% ของตลาดรวม ส่วนกลุ่มที่อยู่อาศัยตลาดระดับกลาง และตลาดกลาง-บน ระดับราคา 3-5 ล้านบาท และกลุ่ม 5-10 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนตลาดอสังหาริมทรัพย์มาอย่างต่อเนื่อง มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 30-40% ของตลาดรวม
ทั้งนี้ กลุ่มตลาดระดับกลาง-ล่างนั้น แม้ว่าจะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อไม่สูง แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือที่เรียกว่า Real Demand ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมยังคงสนใจเข้าไปพัฒนาโครงการระดับราคา 0.8-1.5 ล้านบาท เพื่อรองรับดีมานด์ในตลาดดังกล่าว แม้ว่าจะยุ่งยากในการคัดกรองลูกค้าที่ปลอดภาระหนี้และเครดิตบูโร ประกอบกับต้องมีเงินออมหรือเงินดาวน์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินให้สูงขึ้นก็ตาม
ส่วนกลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยระดับ 3-5 ล้านบาทและกลุ่มระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มที่ขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาฯ ในช่วงที่ผ่านมาประกอบไปด้วยกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย เช่น คนรุ่นใหม่ที่ทำงานในเมือง และกลุ่มคนทำงานที่ต้องการที่อยู่อาศัยย่านชานเมืองในแนวรถไฟฟ้า หรือกลุ่มที่ทำงานในเมือง และพักอาศัยในโซนสถานนีรถไฟฟ้าปลายทาง และกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนคนไทยที่ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า
ทั้งนี้ จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่อยู่ในสภาพค่อยเป็นค่อยไป และปัจจัยลบจากการปรับตัวของหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแนวโน้มการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ย และปัญหากำลังซื้อผู้บริโภคหดตัวจากผลกระทบปัญหาเงินเฟ้อ ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมซึ่งเคยเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ให้ขยายตัวอย่างร้อนแรงในช่วง 3-5 ปีก่อนหน้ายังคงทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ ผิดจากคาดการณ์ของบริษัทอสังหาฯ หลายรายซึ่งเชื่อว่าในปีนี้ตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดฯ จะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างเต็มตัว
โดยมีปัจจัยหนุนคือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัวหลังมีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยกลุ่มนักท่องเที่ยว และนักลงทุนชาวจีนจะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นตัวของตลาดคอนโดฯ ในปีนี้
ล่าสุด บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ เช่น บมจ.ศุภาลัย บมจ.ออริจิน พร็อพเพอร์ตี้ บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) บมจ.แสนสิริ บมจ.เมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ ทยอยประกาศแผนลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯ อย่างต่อเนี่อง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของตลาดช่วงปลายปี 66 และตลาดในปี 67 ทิศทางดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคและนักลงทุนทั้งนักลงทุนชาวไทยและต่างชาติเริ่มศึกษาและพิจารณาคอนโดฯ โครงการใหม่ๆ รอจังหวะการลงทุนรองรับดีมานด์ตลาดคอนโดฯ ที่คาดว่าจะเริ่มกลับมาขยายตัวตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้
โครงการในฝันผู้บริโภค-นักลงทุน
แน่นอนว่าโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและนักลงทุน ต้องสามารถตอบโจทย์ทั้งด้านการอยู่อาศัย ไลฟสไตล์การใช้ชีวิต และที่สำคัญคือมีมูลค่าเพิ่ม โดยปัจจุบน โครงการต้นแบบที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคและนักลงทุน เรียกได้ว่าเป็นโครงการในฝันของหลายคนเลยทีเดียวคือ THE FORESTIAS โครงการภายใต้การพัฒนาจากค่าย “แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น” หรือ MQDC เนื่องจากเป็นโครงการที่ครบครันทุกด้าน ทั้งความเป็นส่วนตัว เน้นสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ให้ความสำคัญสิ่งแวดล้อม มีสิ่งอำนวยความสะดวกตอบโจทย์กลุ่มผู้อยู่อาศัยทุกกลุ่ม ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงผู้สูงอายุ แต่ต้องยอมรับว่าโครงการที่เพียบพร้อมย่อมมีราคา และค่าใช้จ่ายเหมาะสมกับคุณภาพที่ลูกค้าจะได้รับ จึงเป็นเรื่องยากที่กลุ่มลูกค้ากำลังซื้อจำกัดจะเข้าถึงได้ ทำให้มีเพียงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการดังกล่าวเท่านั้นที่เข้าถึงได้
6 ปัจจัยการพัฒนาคอนโดฯ เมือง
อย่างไรก็ดี โครงการใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา ต่างมีข้อดีและจุดเด่นที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว โครงการเกิดใหม่จะเน้นใน 6 เรื่องสำคัญ โดย นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัท วิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการสำรวจพฤติกรรมของผู้ซื้ออาคารชุดพักอาศัยในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑลในปัจจุบัน ระหว่างปี 2565-2566 พบว่า ผู้ซื้ออาคารชุดในปัจจุบันให้ความสำคัญกับ 6 ปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้ออาคารชุด ประกอบด้วย
· เน้นเรื่องทำเล โดยจากผลการสำรวจพบว่า 81% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับเรื่องของทำเลเป็นหลัก โดยทำเลที่ตั้งที่ผู้ซื้อให้ความสำคัญต้องเป็นทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะหรือจุดขึ้นลงทางด่วน ใกล้แหล่งงาน และสถานศึกษา
· ราคา สำหรับราคาเป็นปัจจัยสำคัญเป็นอันดับรองลงมา โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 65% ให้ความเห็นว่าในทำเลเดียวกัน ราคาที่สมเหตุสมผล (Reasonable Price) และสามารถจับต้องได้ (Affordable Price) เป็นปัจจัยต่อมาที่ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อโครงการ
· พื้นที่สีเขียว เมื่อได้ทำเลและราคาที่เหมาะสมแล้ว ปัจจัยที่จะตัดสินใจซื้อโครงการใดโครงการหนึ่งที่ตั้งอยู่ในทำเลเดียวกันในระดับราคาที่ใกล้เคียงกันเป็นเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก และการออกแบบโครงการ โดยมีปัจจัยที่ผู้ซื้อให้ความสำคัญประกอบด้วย พื้นที่สีเขียว ซึ่งจากผลการสำรวจพบว่า 84% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ให้ความสำคัญกับโครงการที่พื้นที่ส่วนกลางที่มีพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อน
· พื้นที่ออกกำลังกาย ออกจากพื้นที่สีเขียวภายในโครงการแล้ว ผลการสำรวจพบว่า 79% ของผู้ตอบแบบสอบถามต้องการให้โครงการมีพื้นที่สำหรับออกกำลังกาย รวมทั้งสระว่ายน้ำ เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพ
· สิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน และไม่น้อยกว่า 40% ให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องกับการประหยัดพลังงาน เช่น EV Charger และการติดตั้ง Solar Cell เพื่อการประหยัดพลังงาน
· รูปแบบของห้อง ในขณะที่รูปแบบของห้องเป็นปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อห้องชุด โดยเปรียบเทียบกับคู่แข่งในตลาด จากผลการวิจัยพบว่า ผู้ซื้อไม่น้อยกว่า 48% เป็นผู้ซื้อที่พักภายในห้องชุด 2 คน ทำให้ผู้ซื้อสนใจที่จะซื้อห้องในรูปแบบ 1 ห้องนอนมากที่สุดคิดเป็นสัดส่วน 65% ของผู้ตอบแบบสอบถาม และ 28% สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบห้องสตูดิโอ โดยให้เหตุผลในเรื่องของขนาดเหมาะสมกับการอยู่อาศัย แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนาห้องรูปแบบ 1 ห้องนอน พลัส ซึ่งเป็นที่นิยมมากขึ้น เนื่องจากผลการวิจัยพบว่า ผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมยังคงมีการทำงานที่บ้าน (work from home) อยู่ถึง 22% เฉลี่ยวันละ 1-2 วัน/สัปดาห์ โดยเฉพาะคน Gen Z ที่ต้องการพื้นที่อเนกประสงค์ที่สามารถทำเป็นห้องทำงานภายในห้องได้
“ภายในพื้นที่ห้องชุด ผู้อยู่อาศัยให้ความสำคัญกับห้องนอนเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ ห้องนั่งเล่น และให้ความสำคัญกับห้องครัวเป็นอันดับสุดท้าย โดยในปัจจุบันมีการพัฒนารูปแบบห้องชุดออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันออกไป อย่างเช่น ห้องที่มีห้องนั่งเล่นอยู่ติดหน้าต่าง-ระเบียงจะมีข้อดีคือ ห้องนั่งเล่นได้แสงธรรมชาติ มองเห็นวิวภายนอก แต่จะมีข้อเสียคือ ทำให้ห้องครัวไม่ได้ติดระเบียง ซึ่งอาจไม่เหมาะกับคนที่ทำครัวบ่อย แต่ถ้าห้องที่ได้ครัวติดระเบียง ห้องนั่งเล่นจะไม่เห็นวิวและแสงธรรมชาติ”
สำหรับ 6 ปัจจัยในการเลือกซื้ออาคารชุดที่สำคัญ โดย 2 ปัจจัยแรกเป็นปัจจัยพื้นฐานในการเลือกซื้อคือ ทำเลและราคา เมื่อได้ทำเลและราคาที่เป็นตัวเลือกแล้ว อีก 4 ปัจจัยหลังจะเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อ เมื่อนำรายละเอียดของโครงการที่อยู่ในทำเลและราคาที่ใกล้เคียงกันมาเปรียบเทียบ โดยเฉพาะในด้านการออกกำลังกาย และพื้นที่สีเขียวที่สร้างบรรยากาศผ่อนคลายให้ผู้อยู่อาศัย การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางในคอนโดฯ จึงควรให้ความสำคัญกับพื้นที่ทั้งสอง
“การเน้นเรื่องการออกแบบให้น่าใช้งานและมีความหลากหลายเพื่อส่งเสริมการใช้งานที่ต่างกันออกไปนอกเหนือจากพื้นที่ส่วนกลางพื้นฐาน ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องพัฒนาโครงการโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้ซื้อโดยเฉพาะพื้นที่ส่วนกลาง และรูปแบบของห้องที่จะสามารถตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อ เพราะเป็น 4 ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของผู้ซื้อ” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
“DDproperty” แนะโฟกัสลูกค้าคอนโดฯ ใหม่ให้ชัด
อย่างไรก็ตาม ตลาดคอนโดฯ ในปัจจุบันยังมีซัปพลายเหลือขายสะสมอยู่จำนวนไม่น้อย ซึ่งซัปพลายเหล่านี้หากพิจารณาให้ดีจะพบว่าเป็นห้องชุดพร้อมอยู่ ซึ่งผู้ประกอบการต้องการระบายออกให้เร็วที่สุดเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน และนำเงินสดกลับมาในระบบหมุนเวียนของแต่ละบริษัท ทำให้คอนโดฯ พร้อมอยู่เหล่านี้กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของคอนโดฯ ใหม่ ดังนั้นในการพัฒนาโครงการใหม่ผู้ประกอบการจึงต้องโฟกัสลูกค้าให้ชัดมากที่สุด ดังนั้น นอกจากปัจจัยสำคัญทั้ง 6 ปัจจัยที่ผู้พัฒนาคอนโดฯ ต้องให้ความสำคัญแล้ว สิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
โดยข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ “DDproperty” ระบุว่า กลุ่มลูกค้าโครงการคอนโดฯใหม่นั้น ประกอบด้วยกลุ่มผู้บริโภค 4 กลุ่มหลักๆ คือ
1.คนที่ชอบของใหม่ เนื่องจากคอนโดฯ ใหม่มีตัวตึก อาคาร สิ่งก่อสร้างต่างๆ ยังไม่เสื่อมสภาพ จึงสามารถใช้งานได้อีกนานหลายปี โดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องซ่อมบำรุง
2.คนที่ชอบความทันสมัย คอนโดฯ ใหม่สร้างขึ้นใหม่ มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งการออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ การตกแต่ง รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี Smart Condo หรือการประยุกต์ใช้ Internet of Things มาช่วยให้การใช้ชีวิตนั้นง่ายขึ้น
3.คนที่ชอบความคุ้มค่า คอนโดฯ ใหม่จะมีข้อเสนอพิเศษ โปรโมชันส่วนลด แลก แจก แถม ฟรี เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ และมีมาตรการรัฐช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น มาตรการลดค่าโอน-จดจำนอง
4.คนที่ชอบการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ คอนโดฯ ใหม่ดึงดูดใจผู้เช่าและผู้ซื้อได้มากกว่า เนื่องจากยังไม่มีผู้ใดอยู่อาศัยมาก่อน สภาพห้อง สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ยังมีความสมบูรณ์ 100%
นอกจากนี้ ข้อมูลเชิงลึกจากผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ “DDproperty” ระบุว่า การเลือกซื้อคอนโดฯ ใหม่ทำให้ผุ้บริโภคต้องพิจารณาหลายด้าน เนื่องจากในการซื้อห้องชุดต้องใช้งบประมาณก้อนใหญ่ ทำให้ผู้บริโภคต้องพิจารณาเพิ่มากขึ้นเพื่อความคุ้มค่าที่สุด ดังนั้น โดยหลักๆ แล้ว นอกจากความชอบที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยแล้ว ก่อนซื้อคอนโดฯ ใหม่ ผู้บริโภคจะพิจารณา 5 เรื่องประกอบการตัดสินใจซื้อคอนโดฯ ใหม่ ประกอบด้วย
1.ความพร้อมทางการเงิน การซื้อที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดฯ ใหม่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม เป็นภาระผูกพันระยะยาว ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อควรสำรวจความพร้อมทางการเงินของตนเองเสียก่อน โดยสามารถจะรู้ได้ว่ารายได้เท่านี้กู้ได้เท่าไร เทคนิคคำนวณวงเงินสินเชื่อบ้านในเบื้องต้น ซึ่งจะประเมินจากรายได้และภาระหนี้สิน ติดเครดิตบูโรหรือไม่ ทำให้รู้ว่าธนาคารหรือสถาบันการเงินจะให้วงเงินสูงสุดเท่าไหร่ และความสามารถในการชำระหนี้ต่อเดือน
2.ทำเลตอบโจทย์ ทำเลมีผลต่อราคาคอนโดฯ ใหม่ และเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ต้องพิจารณา ซึ่งแน่นอนว่าทำเลตอบโจทย์ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน บางคนอาจจะชอบทำเลในเมือง มองหาคอนโดฯ ใหม่ในเมือง คอนโดฯ ใหม่ติดรถไฟฟ้า รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ใกล้แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีราคาสูง มีหลายเซกเมนต์ให้เลือก ในขณะที่บางคนอาจจะชอบคอนโดฯ ชานเมือง เพราะอยากหลีกหนีความวุ่นวาย ต้องความสงบและเป็นส่วนตัว มองหาคอนโดฯ ที่มีพื้นที่สีเขียว คอนโดฯ เลี้ยงสัตว์ได้ เมื่อขยับออกมานอกเมืองหน่อย ราคาจะถูกลง ดังนั้นเลือกทำเลที่ลงตัวในการใช้ชีวิตและตอบโจทย์ที่สุด
3.รูปแบบโครงการ โดยรูปแบบโครงการคอนโดฯ ใหม่เรื่องของดีไซน์ความสวยงาม อาจจะถูกลดความสำคัญลงเมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่ใช้สอย เนื่องจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากการมาของโควิด-19 ทำให้ต้องใช้เวลาอยู่บ้าน หรือคอนโดฯ กันมากขึ้น โครงการคอนโดฯ ใหม่จึงไม่ได้ออกแบบมาเพื่อการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังต้องสามารถปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่ทำงาน รองรับการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) รวมถึงกิจกรรมที่ต่างๆ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่คอนโดฯ มากขึ้น ดังจะเห็นได้จากจุดขายคอนโดฯ ใหม่ในปัจจุบัน
4.ขนาดห้อง ต่อมาคือการเลือกขนาดห้อง โครงการคอนโดฯ ใหม่มีขนาดห้องให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ เริ่มตั้งแต่สตูดิโอไปจนถึงคอนโดฯ หรูระดับเพนต์เฮาส์ซึ่งจะมีพื้นที่ใช้สอย (ตารางเมตร) เพิ่มมากขึ้น ยิ่งตารางเมตรเพิ่มมากขึ้น ราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละคอนโดฯ การเลือกรูปแบบห้องและขนาดพื้นที่ใช้สอยพิจารณาจากงบประมาณ ความชอบ ไลฟ์สไตล์ จำนวนผู้อยู่อาศัย รวมถึงการลงทุนในอนาคต ในกรณีที่คิดจะขายต่อหรือปล่อยเช่าในอนาคต
5.ข้อเสนอพิเศษ หรือโปรโมชันส่วนลดจากผู้พัฒนาคอนโดฯ การซื้อคอนโดฯ ใหม่ต้องฉลาดเลือก เพื่อความคุ้มค่าคุ้มราคา ต้องพิจารณาข้อเสนอพิเศษ โปรโมชันส่วนลดของแต่ละโครงการมาเปรียบเทียบกัน ผู้ประกอบการแข่งขันกันออกแคมเปญโปรโมชันต่างๆ มากระตุ้นความสนใจ ไม่ว่าจะเป็นอยู่ฟรี ฟรีค่าโอน-ค่าจดจำนอง ฟรีค่าส่วนกลาง ยังไม่นับรวมของแถมอีกมากมาย เช่น ชุดเครื่องครัว เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ หรือแม้แต่สมาร์ทโฟนเพื่อให้ผู้ซื้อคอนโดฯ ใหม่รู้สึกว่าคุ้มค่าในช่วงภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
แม้ว่าตลาดคอนโดฯ ในปัจจุบันจะยังไม่กลับมาขยายตัวเต็มที่อย่างที่หลายคนคาดการณ์ แต่เชื่อว่าในระยะอันใกล้นี้ตลาดคอนโดฯ จะเริ่มส่งสัญญาณการกลับมาฟื้นตัวที่ชัดเจนได้มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อดีมานด์จากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาอย่างเต็มตัวตั้งแต่ในช่วงปลายปี 66 ต่อเนื่องไปในปี 67 ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ดีมานด์คอนโดฯ จากต่างชาติกลับมาคึกคักได้ชัดเจนมากขึ้น