หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ถูกปัจจัยลบกดกันในเรื่องนโยบายค่าไฟของพรรคก้าวไกล ดูผ่อนคลายขึ้น โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (10-14 ก.ค.66) หุ้นกลุ่มนี้มีอัตราผลตอบแทนจากราคาเป็นบวกเกือบทุกหลักทรัพย์ ขณะที่ถ้าเทียบในช่วง 2 เดือนหลังการเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค.2566 พบว่า หลายหลักทรัพย์ยังติดลบอยู่ มีเพียง GULF , BPP และ TPIPP ที่เป็นบวก
1.บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) มาร์เก็ตแคป 566,124.49 ล้านบาท ,หลังเลือกตั้ง (15พ.ค.66) ปิด 48.00 บาท ณ ล่าสุด (14 ก.ค.66) ปิด 48.25 บาท เพิ่ม 0.25 บาท หรือ +0.52%, ผลตอบแทนราคา 1สัปดาห์ (10-14 ก.ค.66) คือ +6.04%,ปัจจุบันเหลืออัพไซด์ 22.24% จาก ราคาเป้าหมาย 58.98 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 57.25 / 43.00 บาท ,ค่า P/E 47.68 เท่า, เงินปันผล 1.24%
โบรกคาดว่ากำไร ไตรมาส 2/66 จะเติบโตขึ้นกว่า ไตรมาส 1/66 หรือราว 3,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 20% จากปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลจากการรับรู้โครงการใหม่ และต้นทุนก๊าซลดลง กำไรจากบริษัทลูกสูงขึ้น ดันกำไรทั้งปี new high อย่างแรงกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
2.บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มาร์เก็ตแคป 209,812.50 ล้านบาท ,หลังเลือกตั้ง (15พ.ค.66) ปิด 67.00 บาท ณ ล่าสุด (14 ก.ค.66) ปิด 56.25 บาท ลด 10.75 บาท หรือ -16.04%,ผลตอบแทนราคา 1 สัปดาห์ (10-14 ก.ค.66) คือ +4.17%, ปัจจุบันเหลืออัพไซด์ 49.65% จากราคาเป้าหมาย 84.18 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 99.75 / 51.50 บาท ,ค่าP/E 24.52 เท่า, เงินปันผล 0.53%
นักวิเคราะห์คาดว่าปี 66 กำไรจะทำจุดสูงสุดใหม่ โดยได้แรงหนุนจากการมุ่งเน้นที่ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV และแบตเตอรี่ ขณะเดียวกัน EA มีแผนยกระดับ Value Chain อย่างแข็งขันด้วยการขยายสู่ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งคาดจะเป็นบวกต่อประมาณการกำไรในปี 2567-2568 นอกจากนี้ EA จะเป็นผู้รับผลประโยชน์หลักจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนอุตสาหกรรม EV
3.บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มาร์เก็ตแคป 153,675.25 ล้านบาท ,หลังเลือกตั้ง (15พ.ค.66) ปิด 59.00 บาท ณ ล่าสุด( 14ก.ค.66) ปิด 54.50 บาท ลด 4.50 บาท หรือ -7.63%, ผลตอบแทนราคา 1 สัปดาห์ (10-14 ก.ค.66) คือ +4.81%,ปัจจุบันเหลืออัพไซด์ 40.00% จาก ราคาเป้าหมาย 76.30 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ75.50 / 51.00 บาท ,ค่าP/E 90.62 เท่า,เงินปันผล 0.92%
โบรกระบุราคาหุ้นปรับตัวลงมามากแล้ว ตั้งแต่ต้นปี มองกำไรเริ่มฟื้นรับอานิสงส์ SPP ดีขึ้น และต้นทุนเชื้อเพลิงลดลง
4.บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) มาร์เก็ตแคป 93,196.68ล้านบาท , หลังเลือกตั้ง (15พ.ค.66) ปิด 37.00 บาท ณ ล่าสุด (14ก.ค.66) ปิด 35.75 บาท ลด 1.25 บาท หรือ-3.38%, ผลตอบแทนราคา 1 สัปดาห์ (10-14 ก.ค.66) คือ +5.15%, ปัจจุบันเหลืออัพไซด์ 29.54 % จาก ราคาเป้าหมาย 46.31 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 42.75 / 30.00 บาท ,ค่า P/E N/A เท่า,เงินปันผล 0.18%
หลายโบรค ยกให้ BGRIM เป็นหุ้น Top picks จากราคาหุ้นโรงไฟฟ้าได้ลดลงสะท้อนข่าวลบไปมากหลังเลือกตั้ง ขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้นจากต้นทุนก๊าซที่ลดลง ความต้องการใช้ไฟฟ้าช่วงฤดูร้อนสูงมากหนุนผลประกอบการไตรมาส 2/66
5.บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) มาร์เก็ตแคป 77,756.25 ล้านบาท ,หลังเลือกตั้ง (15พ.ค.66) ปิด 37.50 บาท ณ ล่าสุด (14 ก.ค.66) ปิด 35.75 บาท ลด 1.75 บาท หรือ -4.67%, ผลตอบแทนราคา 1 สัปดาห์ (10-14 ก.ค.66) คือ +1.42%, ปัจจุบันเหลืออัพไซด์ 32.87% จาก ราคาเป้าหมาย 47.50 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ44.75 / 34.75 บาท ,ค่า P/E 13.76 เท่า,เงินปันผล 4.48%
คาดกำไรปกติปี 2566 ยังสามารถเติบโตเด่นจากปี 2565 จากฐานที่ต่ำในปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจาก 1. ไม่มีค่าที่ปรึกษาในการทำ M&A ที่สูงเหมือนปีก่อน, 2. การรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนใน NEJV แบบเต็มปี และ 3. การเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้า Paiton หลังการเข้าลงทุนเสร็จสิ้น
6.บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) มาร์เก็ตแคป 70,283.08 ล้านบาท ,หลังเลือกตั้ง (15พ.ค.66) ปิด 146.00 บาท ณ ล่าสุด( 14ก.ค.66) ปิด 133.50 บาท ลด12.50 บาทหรือ-8.56%, ผลตอบแทนราคา 1 สัปดาห์ (10-14 ก.ค.66) คือ +4.30%,ปัจจุบันเหลืออัพไซด์ 53.88% จาก ราคาเป้าหมาย 205.43 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ190.00 / 126.50 บาท ,ค่า P/E 119.23 เท่า,เงินปันผล 4.87%
บล.กรุงศรี พัฒนสิน คาดกำไรปกติ Q2/66 ราว 2.8 พันล้านบาท ลดลง 27% เทียบกับYoY เนื่องจากลดลงตามส่วนแบ่งกำไร เพราะไม่มีกำไรของโรงพลังงานความร้อนไต้พิภพ และกำไรของเหมืองถ่านหินลดลงตามราคาถ่านหินแต่เติบโต 54% เมื่อเทียบกับ QoQ เนื่องจากรายได้และGPM เพิ่มขึ้น จากโรงKEGCO เข้าสู่ High Season และโรงQPL ออกจากช่วงปิดซ่อม และส่วนแบ่งกำไรฟื้นตัวจากโรง BLCP NTPC และไซยะบุรี ออกจากปิดซ่อม
7.บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) มาร์เก็ตแคป 44,801.66 ล้านบาท ,หลังเลือกตั้ง (15พ.ค.66) ปิด14.00 บาท ณ ล่าสุด (14 ก.ค.66) ปิด 14.70 บาท เพิ่ม 0.70 บาท หรือ +5.00%, ผลตอบแทนราคา 1สัปดาห์ (10-14 ก.ค.66) คือ +2.80%, ปัจจุบันเหลืออัพไซด์ 14.28% จาก ราคาเป้าหมาย 16.80 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ52สัปดาห์คือ 17.50 / 13.00บาท ,ค่าP/E 9.08 เท่า,เงินปันผล 4.76%
BPP ซื้อโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple II ในสหรัฐ 755 เมกะวัตต์ สอดรับกลยุทธ์ Greener & Smarter และเป็นการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในประเทศยุทธศาสตร์ พร้อมมุ่งเดินหน้าสร้างสมดุลของพอร์ตธุรกิจพลังงานสะอาด
8.บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP) มาร์เก็ตแคป 28,452.84 ล้านบาท ,หลังเลือกตั้ง (15พ.ค.66) ปิด 3.72 บาท ณ ล่าสุด (14 ก.ค.66) ปิด 3.50 บาท ลด 0.22 บาท หรือ-5.91%, ผลตอบแทนราคา 1 สัปดาห์ (10-14 ก.ค.66) คือ 0.00%,ปัจจุบันเหลืออัพไซด์ 40.29% จาก ราคาเป้าหมาย 4.91 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์คือ 5.55 / 3.24 บาท ,ค่า P/E 12.41 เท่า, เงินปันผล 2.43%
บล.หยวนต้า คาดแนวโน้มผลงาน Q2/66 มีโอกาสพลิกทำกำไรสุทธิ จาก Q1/66 ที่ขาดทุนสุทธิ 104.29 ลบ. เพราะได้รับอานิสงส์ต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลง ,โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี (XPCL) ในสปป.ลาว มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาลส่งผลให้ปริมาณการขายไฟฟ้าฟื้นตัว QoQ รวมถึงได้รับส่วนแบ่งกำไรโรงไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ บ.บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น หรือ BIC (CKP สัดส่วน 65%)
9.บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) มาร์เก็ตแคป 28,068.80 ล้านบาท ,หลังเลือกตั้ง (15พ.ค.66) ปิด 3.42 บาท ณ ล่าสุด( 14ก.ค.66) ปิด 3.16 บาท ลด 0.16 บาท หรือ -7.60%,ผลตอบแทนราคา 1 สัปดาห์ (10-14 ก.ค.66) คือ +1.94%, ปัจจุบันเหลืออัพไซด์ 58.23% จาก ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท, ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 5.80 / 2.98บาท ,ค่าP/E 9.47 เท่า,เงินปันผล 3.80%
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองภาพรวมธุรกิจ GUNKUL ยังดี อานิสงส์ธุรกิจ EPC เติบโตต่อเนื่อง แถมมีมาร์จิ้นสูงกว่า 10% ส่วนธุรกิจ Trading งานขายอุปกรณ์ให้กับการไฟฟ้ายังเต็มมือ และให้จับตา Q2/2566 คาดจะกลับมาเติบโตโดดเด่น ประเมินกำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 1.48 พันล้านบาท
10.บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ (TPIPP) มาร์เก็ตแคป 27,552.00 ล้านบาท ,หลังเลือกตั้ง (15พ.ค.66) ปิด 3.26 บาท ณ ล่าสุด( 14ก.ค.66) ปิด3.28 บาท เพิ่ม 0.02 บาทหรือ +0.61%,ผลตอบแทนราคา 1สัปดาห์ (10-14 ก.ค.66) คือ -1.80%,ปัจจุบันเหลืออัพไซด์ 14.33% จาก ราคาเป้าหมาย 3.75 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 3.76 / 3.20 บาท ,ค่า P/E 9.17 เท่า,เงินปันผล 7.32%
ผู้บริหารคาดในปี 2026 บริษัทจะมีกำลังการผลิตแตะ 548 MW โรงไฟฟ้า 8 โรง อีกทั้ง บริษัทมีโรงไฟฟ้าขยะใหม่อีก 2 แห่ง คือ โรงไฟฟ้าขยะขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ขนาดกำลังการผลิต 7.92 MW คาด COD ปี 2024 และโรงไฟฟ้าขยะมูลฝอยระยะที่ 2 เทศบาลนครนครราชสีมา ขนาดกำลังการผลิต 9.9 MW คาด COD ปี 2025 ล่าสุดอยู่ระหว่างการเจรจาสัญญาสัมปทาน
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามการโหวตเลือกนนายกฯเป็นครั้งที่ 2 ถ้าผลออกมาเหมือนครั้งแรก กลุ่มโรงไฟฟ้าน่าจะวิ่งได้อีก เพราะส่วนใหญ่ยังเหลืออัพไซด์จำนวนมาก