นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนกรกฎาคม 2566 ว่า สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค. มีโอกาสปรับตัวผันผวนสูง โดยในช่วงแรกคาดว่าดัชนีจะแปรผันไปตามพัฒนาการของปัจจัยการเมืองภายในประเทศที่จะเริ่มมีการเปิดสภาในช่วงต้นเดือนเพื่อเลือกประธานสภา ก่อนที่จะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีในช่วงกลางเดือน หากทุกอย่างเป็นไปตาม Timeline ดังกล่าวและไม่มีอุปสรรค ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวรีบาวนด์ในช่วงครึ่งหลังของเดือนกรกฎาคมได้ ในทางกลับกัน หากมีความยืดเยื้อเกิดขึ้น ประเมินว่าดัชนีมีโอกาสที่จะถูกดดันเพิ่มเติมจากระดับ Risk premium ของประเทศที่ปรับสูงขึ้นอีกครั้ง
สำหรับปัจจัยต่างประเทศในช่วงต้นเดือน มองไปยังบรรยากาศผ่อนคลายจากรายงานตัวเลข PCE ของสหรัฐฯ ที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 2 ปี ทำให้ Bond yield ผ่อนคลายการปรับขึ้นช่วงสั้น สอดคล้องกับ Fed Funds futures ที่ผ่อนคลายลง แต่ทั้งนี้ หากเข้าใกล้ช่วงสิ้นเดือนที่มีการประชุม FOMC วันที่ 25-26 ก.ค.แล้ว ตลาดให้น้ำหนักมากขึ้นว่า Fed มีโอกาสกลับมาขึ้นดอกเบี้ยจริง อาจเป็นปัจจัยสร้างความผันผวนที่รออยู่
ส่วนประเด็นเฉพาะตัวของตลาดหุ้นไทยที่อาจมองข้ามไม่ได้คือการหลุดออกจาก Trading alert list ของหุ้น DELTA ในวันที่ 11 ก.ค. ซึ่งอาจนำมาสู่ความผันผวนของดัชนีหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะดัชนีหุ้นขนาดใหญ่อย่าง SET50 รวมไปถึงตราสารอ้างอิงอย่าง Index futures
สำหรับสภาพคล่องภายในประเทศนั้นยังน่าเป็นห่วง โดยล่าสุดการขยายตัวของ M2 ในเดือน พ.ค.อยู่เพียง 1.89% ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.ปี 2002 และที่สำคัญ ระดับ M2 ได้มีการปรับลดลงติดกันมา 2 เดือนแล้ว มองเป็นปัจจัยลบต่อสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทยต่อไป โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งยังคงแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังอย่างสูง
นายณัฐชาต กล่าวว่า มองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index ในเดือน ก.ค.ที่ระดับ 1,450-1,550 จุด โดยมองกรอบแนวรับแรกที่ระดับ 1,480 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1,450 จุด ส่วนแนวต้านแรกมองที่ 1,520 จุด และแนวต้านสำคัญมองที่ 1,550 จุด ในเชิงกลยุทธ์ แนะถือหุ้นที่ได้ทยอยซื้อบริเวณดัชนี SET ต่ำกว่าระดับ 1,490 จุดก่อนหน้านี้ และหาจังหวะ Take profit บริเวณกรอบแนวต้าน 2 แนวที่กำหนดไว้
ด้านธีมการลงทุนและกลุ่มหุ้นแนะนำประจำไตรมาส 3/66 ได้แก่ 1.กลุ่มที่อิงกับภาคการบริโภคภายในประเทศ ได้แก่ BBL, KTB, CPALL, CPAXT, BJC, CRC 2.กลุ่มที่อิงกับภาคการท่องเที่ยว ได้แก่ ERW, SPA, AU 3.กลุ่มโรงพยาบาลที่เตรียมจะผ่านพ้น Seasonal low ในช่วงไตรมาส 2 ได้แก่ BH, BDMS, BCH, CHG, PR9
4.กลุ่มพลังงานที่ราคาหุ้นปรับลงมามากรับข่าวร้าย Earnings ที่อ่อนแอในไตรมาส 2 ไปแล้ว ได้แก่ BCP, IRPC, PTTGC, TOP 5.กลุ่มส่งออกอาหาร/เกษตรที่จะเห็นการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานในครึ่งหลังปี 66 ได้แก่ BTG, CPF, GFPT และ 6.กลุ่มที่ Price in นโยบายทางการเมืองไปมากแล้วจน Valuation อยู่ในโซนที่น่าสนใจ ได้แก่ GULF, BGRIM, GPSC, TRUE