ชื่อของ "นิติ โอสถานุเคราะห์" บิ๊กบองผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของ โอสถสภา เจ้าของฉายา "นักลงทุนในตำนาน" เป็นที่รู้จักของสาธารณชน ในฐานะติดอันดับเศรษฐีหุ้นเมืองไทยมาหลายปี โดยในปัจจุบัน เขามีชื่อในรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 10 อันดับ จำนวน 8 หลักทรัพย์ มูลค่า 65,976.38 ล้านบาท (คำนวณจากราคาปิด ฯ วันที่ 23 มิ.ย.2566) เรียงจากมูลค่ามากไปหาน้อยที่สุด
1.บมจ.โอสถสภา หรือ OSP นิติ ถือลำดับ 1 (723,097,300 หุ้น หรือ 24.07% ) มูลค่า 21,692,919,000 ล้านบาท (ราคาปิด 30.00 บาท เมื่อ 23 มิ.ย.66) ปรากฎรายชื่อเข้าถือหุ้นใหญ่ครั้งแรก 11 ต.ค. 2561 จำนวน 624,250,000 หุ้น หรือ 20.78% ต่อมา 28 สิงหาคม 2562 ถือลดลงเหลือ 489,081,300 หุ้นหรือ16.28% ต่อมา 28 ส.ค. 2563 ถือเพิ่มขึ้นเป็น 494,496,600 หุ้น หรือ 16.46% ต่อมา 28 สิงหาคม 2564 ถือเพิ่มขึ้นเป็น715,030,000 หุ้น หรือ 23.80% ต่อมา 28 สิงหาคม 2565 ถือเพิ่มขึ้นเป็น 723,097,300 หุ้น หรือ24.07% จนถึงปัจจุบัน
OSP มี Market Cap 90,113 ล้านบาท, ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ +6.19%, ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52สัปดาห์ คือ 35.25 / 24.80 บาท ,ค่าP/E 46.31 เท่า ,งบไตรมาส1/2566 คือ 777.90ล้านบาทขณะที่ งบไตรมาส1/2565 คือ 749.71 ล้านบาท,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 3.76%
2.บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT นิติ ถือลำดับ 3 (497,600,851 หุ้น หรือ 9.54%) มูลค่า 16,669,628,508 ล้านบาท (ราคาปิด 33.50 บาท เมื่อ 23 มิ.ย.66) โดยเริ่มเข้าถือครั้งแรก วันที่ 9 เม.ย. 2545 จำนวน 11,941,100 หุ้น หรือ 8.79% ต่อมา 20 มิ.ย.2561 ถือ 365,954,851หุ้น หรือ 7.92% ต่อมา 7 ส.ค.2563 ถือเพิ่มเป็น 492,650,851หุ้น หรือ 9.51% ต่อมา 7 พ.ค.2564 ถือเพิ่มเป็น 495,800,851หุ้น หรือ9.55%ต่อมา ถือเพิ่มเป็น 497,600,851หุ้น หรือ 9.54% จนถึงปัจจุบัน
MINT มี Market Cap 183,234 ล้านบาท, บริษัท ไมเนอร์ โฮลดิ้ง (ไทย) จำกัด ถือใหญ่สุด 15.50% นาย วิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค 3.18%, ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ +3.88%, ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52สัปดาห์ คือ 35.00 / 24.10 บาท , ค่า P/E 26.18 เท่า ,งบไตรมาส 1/2566 คือ -975.90 ล้านบาท ขณะที่ งบไตรมาส1/2565 คือ -3,793.73 ล้านบาท
3.บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ หรือ HMPRO นิติ ถือลำดับ 4 ( 665,764,862 หุ้น หรือ 5.06%) มูลค่า 9,254,131,581 ล้านบาท (ราคาปิด 13.90 บาท เมื่อ 23 มิ.ย.66) โดยเริ่มเข้าถือครั้งแรกวันที่ 13 ต.ค. 2549 จำนวน 45,447,200 หุ้น หรือ 4.76% ต่อมา 12 ก.ย.2561 ถือเพิ่มเป็น 621,415,762 หุ้น หรือ 4.73% ต่อมา 9 ก.ย.2563 ถือ 665,764,862 หุ้น หรือ5.06% จนถึงปัจจุบัน
HMPRO มี Market Cap 182,802 ล้านบาท,บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ถือใหญ่สุด 30.23%สำนักงานประกันสังคมถือ 2.17%, ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -10.32%, ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ52สัปดาห์ คือ 15.90 / 12.40 บาท , ค่า P/E 28.94 เท่า ,งบไตรมาส 1/2566 คือ 1,611.12 ล้านบาท ขณะที่ งบไตรมาส1/2565 คือ 1,510.95 ล้านบาท, อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 6.63%
4.บมจ.ซีพี ออลล์ หรือ CPALL นิติ ถือหุ้นใหญ่ลำดับ 7 จำนวน 138,986,600 หุ้น หรือ 1.55% มูลค่า 8,582,422,550 ล้านบาท (ราคาปิด 61.75 บาท เมื่อ 23 มิ.ย.66) โดยเริ่มเข้าถือครั้งแรก วันที่ 30 เม.ย. 2563 จำนวน 9,430,100 หุ้น หรือ 0.88% ต่อมา 29 เม.ย. 2565 ถือเพิ่มเป็น 25,015,000 หุ้น หรือ 1.39% ต่อมา 10 มี.ค 2566 ถือเพิ่มเป็น 138,986,600 หุ้น หรือ 1.55% จนถึงปัจจุบัน
CPALL มี Market Cap 554,707 ล้านบาท, บริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 31.82% สำนักงานประกันสังคม 1.44% ,ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -9.52%, ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 73.75 / 52.75 บาท , ค่าP/E 39.95 เท่า ,งบไตรมาส 1/2566 คือ 4,122.78 ล้านบาทขณะที่ งบไตรมาส1/2565 คือ 3,453.03 ล้านบาท,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 19.40 %
5.บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN นิติ ถือลำดับ 6 (83,234,500 หุ้น หรือ 1.85%) มูลค่า 5,181,347,625 ล้านบาท (ราคาปิด 62.25 บาท เมื่อ 23 มิ.ย.66)โดยเริ่มเข้าถือครั้งแรกวันที่ 9 เม.ย. 2550 จำนวน 12,156,300 หุ้น หรือ 0.56% ต่อมา 7 มี.ค.2561 ถือเพิ่มเป็น 49,572,400 หุ้น หรือ 1.10% ต่อมา 29 พ.ค.2563 ถือเพิ่มเป็น77,050,300 หุ้น หรือ 1.72% ต่อมา 9 มี.ค.2566 ถือเพิ่มเป็น 83,234,500 หุ้น หรือ 1.85% จนถึงปัจจุบัน
CPN มี Market Cap 279,378 ล้านบาท,บริษัท เซ็นทรัลโฮลดิ้ง จำกัด ถือใหญ่สุด 26.21% สำนักงานประกันสังคม 1.35%, ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -12.32%, ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 75.50 / 58.50 บาท , ค่าP/E 24.31 เท่า ,งบไตรมาส1/2566 คือ 3,245.89 ล้านบาท ขณะที่ งบไตรมาส 1/2565 คือ2,328.26 ล้านบาท, อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 39.41%
6.บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น หรือ WHA นิติ ถือลำดับ 7 (436,438,690 หุ้น หรือ 2.92%) มูลค่า 1,972,702,878 ล้านบาท (ราคาปิด 4.52 บาท เมื่อ 23 มิ.ย.66) โดยเริ่มเข้าถือครั้งแรก 25 มีนาคม 2563 จำนวน 292,838,190 หุ้น หรือ 1.96% ต่อมา 26 พ.ย.2564 ถือเพิ่มเป็น 436,438,690 หุ้น หรือ 2.92% จนถึงปัจจุบัน
WHA มี Market Cap 67,560 ล้านบาท,น.ส.จรีพร จารุกรสกุลถือใหญ่สุด 23.29% กองทุนเปิด บัวหลวงทศพล 1.31%, ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ +10.78%,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 4.74 / 2.84 บาท , ค่าP/E 17.34 เท่า ,งบไตรมาส 1/2566 คือ 522.70 ล้านบาท ขณะที่งบไตรมาส 1/2565 คือ 656.07 ล้านบาท,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ -20.33%
7.บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา หรือ CENTEL นิติ ถือลำดับ 3 (41,314,611 หุ้น หรือ 3.06%) มูลค่า 1,931,458,064 ล้านบาท(ราคาปิด 46.75 บาท เมื่อ 23 มิ.ย.66) โดยเขาปรากฎรายชื่อเข้าถือหุ้นใหญ่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เม.ย. 2548 จำนวน 1,359,300 หุ้น หรือ 0.76% ต่อมา 10 พ.ค. 2561 ถือเพิ่มเป็น 36,129,511 หุ้นหรือ2.68%ต่อมา 7 พ.ค. 2562 ถือเพิ่มเป็น 31,070,141 หุ้น หรือ 2.30% ต่อมา 25 พ.ค. 2563 ถือเพิ่มเป็น 41,314,611 หุ้น หรือ 3.06% จนถึงปัจจุบัน
CENTEL มี Market Cap 87,237 ล้านบาท, บริษัท เตียง จิราธิวัฒน์ จำกัดถือใหญ่สุด 5.00%, ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ -6.97%, ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 58.25 / 38.75 บาท ,ค่า P/E 59.57 เท่า ,งบไตรมาส1/2566 คือ 629.08 ล้านบาท ขณะที่งบไตรมาส 1/2565 คือ -43.69 ล้านบาท
8.บมจ.กรุงเทพประกันภัย หรือ BKI นิติ ถือลำดับ 9 (2,224,362 หุ้น หรือ 2.09%) มูลค่า 691,776,582 ล้านบาท(ราคาปิด 311.00 บาท เมื่อ 23 มิ.ย.66) โดยเริ่มเข้าถือครั้งแรกวันที่ 14 มี.ค. 2545 จำนวน 111,900 หุ้น หรือ 0.56% ต่อมา 23 พ.ย.2561 ถือเพิ่มเป็น 2,224,362 หุ้น หรือ 2.09% จนถึงปัจจุบัน
BKI มี Market Cap 33,112 ล้านบาท, ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ถือใหญ่สุด 9.97%, ผลตอบแทนราคาตั้งแต่ต้นปี 66 อยู่ที่ +11.47%, ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 319.00 / 267.00 บาท ,ค่าP/E8.60 เท่า ,งบไตรมาส 1/2566 คือ 883.72 ล้านบาท ขณะที่ งบไตรมาส1/2565 คือ -3,580.55 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตได้ว่า หุ้นส่วนใหญ่ในพอร์ตของ "นิติ" นั้น เขาจะถือครองยาวนาน บางหลักทรัพย์เเข้าถือตั้งแต่ปี 2545 หรือ 2549 และเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะบ่งบอกถึงความมั่้นคงของหลักทรัพย์นั้นๆ ได้เป็นอย่างดี