xs
xsm
sm
md
lg

หายนะสื่อ!! หลังอัลกอริทึมของ Facebook เปลี่ยนไป

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



Facebook จัดเป็นหนึ่งในสื่อสั่งคมออนไลน์หลัก ที่สำนักข่าว บริษัท ห้างร้าน องค์กรต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน เป็นศูนย์กลางในการติดต่อกับสาธารณะ เปรียบเสมือน HUB หรือ แหล่งรวมชุมชนกลุ่มต่างๆ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกภาษา ทุกพื้นที่ ด้วยการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงถึงกัน และสำนักข่าวต่างๆ หรือเพจผู้ทรงอิทธิพลออนไลน์ในด้านต่างๆ ก็มี Facebook เป็นหนึ่งในช่องทางสร้างชื่อสร้างรายได้..........แต่ดูเหมือนว่า แนวโน้มการติดต่อสื่อสารระหว่าง "ผู้สร้างสื่อ" และ "ผู้เสพสื่อ" เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อเจ้าของแพลตฟอร์มคือ Meta ปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมครั้งใหญ่ของ Facebook ซึ่งอาจส่งผลกระทบ หรือหายนะอย่างร้ายแรงต่อกลุ่มผุ้ประกอบการธุรกิจสื่อ

ล่าสุดจากการออกมาเผยแพร่ของ gizmodo ระบุถึง ข้อมูลจาก Echobox ซึ่งเป็นบริษัทจัดการโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในอัลกอริทึมของ Facebook ในเดือนพฤษภาคม ทำให้การเข้าชมเว็บไซต์ข่าวและสื่อลดลงอย่างมาก (เพื่อปิดกั้นการมองเห็นจากการกดติดตามและแจ้งเตือนในฟังก์ชั่นเดิมของผู้เสพข่าว และเปลี่ยนเป็นการบังคับให้กลุ่มธุรกิจสื่อจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาของ Facebook ซึ่งจะเป็นการเปิดการเข้าถึงต่อผู้เสพสื่อ)
 
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าหนักใจในธุรกิจข่าวดิจิทัลที่เปราะบางมากขึ้น ซึ่งบริษัทต่างๆ แทบไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพึ่งพาสื่อสำนักข่าวต่างๆ โดยใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทาง Facebook ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียยอดนิยมที่เข้าถึงได้ง่ายและครอบคลุมหลายประเภท ทั้งบทความ ภาพ เสียง วีดีโอ ซึ่งผู้เผยแพร่กล่าวว่าพวกเขาสมควรได้รับอิสระในการเผยแพร่ข่าวอย่างความโปร่งใส ปราศจากการปิดกั้น แต่เช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกันในอดีต ไม่มีการสื่อสารใด ๆ จาก Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook ขณะที่ความเป็นจริง Meta ไม่ตอบสนองต่อคำขอของ Gizmodo สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อซักถามดังกล่าวและประเด็นที่น่าสงสัยเช่นนี้

แหล่งข่าวที่พูดคุยกับ Gizmodo กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นในเดือนกุมภาพันธ์และแย่ลงในเดือนถัดมา “มีแนวโน้มลดลงอย่างมาก และ Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญสำหรับเรา เนื่องจากผู้ชมของเราอยู่บน Facebook ซึ่งการปอิดกั้นดังกล่าว มันผิดเพี้ยนไปอย่างไม่สมส่วน มันคิดเป็นประมาณ 25% ของการเข้าชมของเรา ”

ขณะที่ Robert Chappell บรรณาธิการบริหารของ Madison 365 ซึ่งเป็นห้องข่าวที่ไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งครอบคลุมชุมชนผิวสีในวิสคอนซินกล่าว “คุณไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเปลี่ยนไป มันทำให้ยากต่อการวางแผนสำหรับอนาคต”

ขณะที่จำนวนคลิกที่มาจาก Facebook ลดลงมาประมาณหนึ่งปีแล้ว แต่การลดลงนั้นเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในเดือนพฤษภาคม 2566 ตามข้อมูลของ Echobox ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากผู้เผยแพร่มากกว่า 2,000 รายทั่วโลก สำหรับลูกค้าของ Echobox ส่วนแบ่งการเข้าชมที่มาจาก Facebook ลดลงประมาณ 50% จากฤดูร้อนปีที่แล้ว

ด้าน Antoine Amann, CEO กล่าวว่า “เป็นเรื่องยากที่จะพูดให้แน่ชัดว่าสาเหตุมาจากอะไร แต่ Facebook ไม่ได้ปิดเป็นความลับเกี่ยวกับความตั้งใจที่จะลดความสำคัญของข่าวบนแพลตฟอร์มของตน และให้ความสำคัญกับเนื้อหาวิดีโอมากขึ้น ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วจะทำให้ปริมาณการคลิกผ่านลดลง และอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากสำหรับผู้เผยแพร่โฆษณาที่ต้องอยู่ภายใต้ความเงื่อนไขข้อบังคับของแพลตฟอร์มของบุคคลที่สาม โดยประสิทธิภาพและรายได้ จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึมที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้”

พนักงานคนหนึ่งในไซต์ข่าวกีฬาและวัฒนธรรมซึ่งมีผู้ติดตาม Facebook หลายล้านคนบอกกับ Gizmodo ว่า "เราสังเกตเห็นการลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงกลางถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ตอนแรกเราคิดว่ามันเป็นความผิดของเรา หรือมีการทำผิดพลาดบางอย่าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปพบว่าสำนักข่าวอื่นๆก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับเรา และเขาก็รายงานสิ่งที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับเรา”

ความปั่นป่วนที่ไม่คาดคิดในการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจของบริษัทข่าวล่มสลาย เช่น การยื่นฟ้องล้มละลายที่ Vice Media และการปิดตัวของ BuzzFeed News Nicholas Carlson บรรณาธิการบริหาร Insider กล่าวถึงการเชื่อมต่อกับ Facebook ที่ถูกตัดขาดว่าเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ปริมาณการใช้ข้อมูลลดลงที่ไซต์ของบริษัท ซึ่งเพิ่งเลิกจ้างพนักงานและต้องทนกับการหยุดงานประท้วงซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

“การปิดกั้นการเข้าถึงส่งผลให้ยอดติดตามลดลง ยอดดูวิดีโอลดลง นั่นเป็นเรื่องจริงเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วและเป็นจริงมาหลายเดือนแล้ว ดังนั้นฉันจะไม่พูดถึงผลกระทบของการนัดหยุดงาน ฉันกำลังพูดถึงสภาพแวดล้อมในด้านการอ่านและการรับชมที่เปลี่ยนไป ซึ่ง Facebook จะไม่แชร์ลิงก์อีกต่อไป” คาร์ลสัน กล่าว

ทั้งนี้หากย้อนกลับไปในปี 2558 Facebook เปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินงานของบริษัท โดยการเน้นเนื้อหาวิดีโอและสนับสนุนผู้สร้างเนื้อหาในแนวนี้มากขึ้น ซึ่งแนวคิดหลักที่เรียกว่า "pivot to video" นั้นเป็นผลมาจากความน่าเชื่อถือ และความนิยมของเนื้อหาวิดีโอบนแพลตฟอร์มเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลหลักฐานทางคดี และการยืนยันข้อเท็จจริง

ข้อมูลจาก Echobox แสดงส่วนแบ่งการเข้าชม Facebook ของผู้เผยแพร่โฆษณาที่ลดลงหลังจากจุดสูงสุดในช่วงฤดูร้อนปี 2022 และลดลงอย่างรวดเร็วในเดือนพฤษภาคมนี้
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องอับอายที่ Facebook ต้องยอมรับว่ามีการพิจารณาที่ผิดพลาดเกี่ยวกับความนิยมของเนื้อหา จากนั้นอุตสาหกรรมสื่อทั้งหมดก็เริ่มปรับตัวเพื่อให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยลงทุนอย่างมากในการผลิตเนื้อหาวิดีโอ และเกิดการลดจำนวนการจ้างงานในแผนกอื่นๆ อย่างไรก็ตามปรากฏว่า ผู้ใช้งานกลับไม่ได้รับชมเนื้อหาวิดีโออย่างต่อเนื่อง จากการวางเงื่อนไขทางธุรกิจที่ Meta ให้กลุ่มธุรกิจสื่อต้องจ่ายเพื่อเปิดการมองเห็น

“เนื้อหาของเราให้คุณค่าอย่างมากแก่ Facebook เราเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศตั้งแต่พวกเขาเปิดตัวเพจบน Facebook เมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว แต่ในฐานะธุรกิจขนาดเล็ก ดูเหมือนว่า Facebook จะไม่เคารพเรา” พนักงานของไซต์กีฬาและวัฒนธรรมกล่าว ทั้งนี้พวกเขาขอให้ไม่เปิดเผยตัวตนเพราะกังวลต่อการตอบโต้จาก Facebook

ขณะที่ไม่นานมานี้ จำนวนสื่อด้านสิ่งพิมพ์และบทความดั้งเดิมลดลงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2020 เมื่อ Facebook ทำการเปลี่ยนแปลงในช่วงสั้นๆ เพื่อลดลำดับความสำคัญของเนื้อหาข่าวบนแพลตฟอร์มที่แตกแยกมากขึ้น

อย่างไรก็ดีสิ่งที่แย่กว่านั้นเมื่อ Chappell บรรณาธิการของ Madison 365 บอกกับ Gizmodo ว่าประสิทธิภาพของเนื้อหาจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดตามหัวข้อ เขากล่าวว่า Meta ไม่ใช่แค่การตัดสินใจว่าผู้ใช้จะเห็นข่าวสารเพิ่มเติมหรือไม่ แต่ยังเป็นตัวตัดสินว่าข่าวประเภทใดที่ปรากฏในฟีดของผู้ใช้

“ในช่วง 3 หรือ 4 เดือนที่ผ่านมา สิ่งใดก็ตามที่เป็นข้อขัดแย้งหรือเกี่ยวข้องกับข่าวนโยบายที่เป็นสาระสำคัญจะถูกระงับ แต่ถ้าเป็นข่าวเกี่ยวกับบางสิ่งที่ค่อนข้างเรียบง่ายและมีความสุข อัลกอริทึมจะขยายมันออกไป” เขากล่าว แม้ว่า Facebook จะไม่ได้ยืนยันถึงการกระทำเบื้องหลังของเขา แต่การสนทนาภายในที่รั่วไหลที่ Facebook ได้แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารกำลังถกเถียงกันว่าผู้ใช้ควรเห็นเนื้อหาที่ตัดสินว่าเป็น "บวก" หรือ "เชิงลบ" มากกว่า โดยไม้ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงซึ่งอาจส่งผลต่อความถูกต้อง และเนื้อหาบางอย่าง อาจกลายเป็นความเชื่อที่สร้างขึ้นมาใหม่ และถูกบัญญัติว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือข้อมูลเท็จ (FAKE NEWS) ที่สร้างขึ้นมา แต่ถูกกำหนดความถูกต้องด้วยเงินที่จ่ายและเผยแพร่ข้อมูลออกไป

Chappell กล่าวว่าเรื่องเด่นของ Madison 365 บน Facebook ในเดือนพฤษภาคมคือบทความเกี่ยวกับครูใหญ่คนใหม่ที่โรงเรียนมัธยมซึ่งมีผู้ใช้ถึง 120,000 คน “ในขณะเดียวกัน เรื่องราวเกี่ยวกับประธานสภาของพรรครีพับลิกันที่ประกาศว่าเขาจะลดความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมโปรแกรมที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน แต่กลับมีคนเห็นน้อยกว่า 1,000 คน” Chappell กล่าว ตัวเลขที่แตกต่างจากวิธีการดำเนินการของเรื่องราวเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง บนโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่น ๆ และบนเว็บไซต์ของ Madison 365 เอง

“สิ่งที่ผมพยายามสื่อสารออกไปนั้น มันไม่ใช่การออกมาบ่น เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมก็มีความสำคัญต่อผู้คนจำนวนมากเช่นกัน”
Chappell กล่าว แม้ว่าเขาจะเสริมว่ามันเป็นเรื่องน่าหนักใจที่เห็น Facebook ทำสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นการตัดสินใจของกองบรรณาธิการกลั่นกรองข้อมุล

ทั้งนี้การพึ่งพา Facebook ของอุตสาหกรรมสื่อดิจิทัล ซึ่งครั้งหนึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นการสื่อสารที่รวดเร็ว กว้างขวาง ตรงกลุ่มเป้าหมาย ได้รับการบันทึกไว้เป็นอย่างดี โดยล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม Meta ขู่ว่าจะบล็อกลิงก์ข่าวทั้งหมดบน Facebook และ Instagram ในแคลิฟอร์เนียเพื่อตอบสนองต่อร่างกฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ ที่จะบังคับให้แพลตฟอร์มเทคโนโลยี (Google และ Meta) จ่ายเงินให้กับสำนักข่าวผู้เผยแพร่เนื้อหาข่าวและบทความนั่นๆ เนื่องจากทาง Facebook จัดเป็นผู้ได้รับประโยชน์ในการเป็นช่องทางหรือรายได้จากเนื้อหาโฆษณาระหว่างการเผยแพร่

ทั้งนี้ Meta ไม่ได้บล็อกข่าวในแคลิฟอร์เนียโดยสิ้นเชิง แต่แพลตฟอร์มอาจระงับเนื้อหาข่าวด้วยวิธีที่ละเอียดอ่อนกว่านี้ ซึ่งผู้แจ้งเบาะแสอ้างว่า Meta ไม่เพียงบล็อกข่าวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์กรที่เกี่ยวกับโรงพยาบาลและบริการดับเพลิงในออสเตรเลียในปี 2564 เพื่อตอบสนองต่อกฎหมายที่เสนอในลักษณะเดียวกันโดย Meta ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และกล่าวว่าเพจที่ถูกบล็อกนั้นเป็นเพจที่ไม่ตั้งใจ

เจ้าหน้าที่ด้านสื่อที่ Gizmodo พูดอย่างเน้นย้ำว่า Meta เป็นบริษัทเอกชนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยอิสระและไม่เกิดหนี้สินจากการรับส่งข้อมูลหรือรายได้จากบุคคลอื่น อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตสื่อกล่าวว่าอย่างน้อยที่สุด พวกเขาควรได้รับการสื่อสารโดยไม่ปิดกั้น

“ถ้าฉันรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ในปีหน้า ฉันจะปรับกลยุทธ์ แต่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ในอีกสองเดือน
เราลงทุนทั้งเวลาและแรงกาย แต่คุณไม่สามารถเข้าข้างใครได้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาเป็นบริษัทขนาดใหญ่ และเราเป็นเพียงสำนักข่าวท้องถิ่นเล็กๆ ที่ไม่สามารถเรียกร้องหรือต่อรองอะไรได้เลย”
Chappell กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น