xs
xsm
sm
md
lg

‘หุ้นสุดยอด…หายนะ’ แต่งบัญชี สร้างรายได้กำไรเทียม ไซฟ่อนเงิน โกงเงินจากตลาดหุ้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า ตีแผ่ภาพบริษัทใหญ่ ปั้นหุ้นเติบโตเร็วแบบติดจรวดเทียม ลวงด้วยซูเปอร์สต๊อกเทียม แต่งบัญชีหลอก ไซฟ่อนเงิน โกงเงินจากนักลงทุนในตลาดหุ้น สุดท้ายนักลงทุนที่หลงเข้าไป

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) ได้เผยแพร่บทความในหัวข้อ ‘หุ้นสุดยอด…หายนะ’ โดยระบุว่า ช่วงเร็วๆ นี้เราได้พบเห็นหุ้นที่เคยดีมาก คือราคาเคยขึ้นไปอย่างรวดเร็วและสูงมาก หลายตัวขึ้นไปหลายเท่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือน หรือแค่ 1-2 ปี แต่แล้วหลังจากนั้นมันตกลงมาอย่างรวดเร็ว หลายตัวลดลงมา 30-40% ขึ้นไป บางตัวลดลงมาถึง 90% และราคาเหลือแค่เศษสตางค์ หรือหมดค่าไปเลยภายในเวลาไม่กี่เดือน หรือแค่ 2-3 ปี

คนที่ซื้อหุ้นก่อนที่ราคาจะขึ้นและขายก่อนที่มันจะตกลงมาแรง ทำกำไรได้มโหฬาร พวกเขาคงเรียกมันว่าหุ้นสุดยอด คนที่สังเกตการณ์หรือนักลงทุนในตลาดหุ้นเรียกพวกเขาว่าเซียน ส่วนคนที่เข้าไปซื้อตอนที่หุ้นขึ้นไปสู่จุดสูงสุดและขายตอนที่หุ้นตกลงมาต่ำสุดนั้นคงเรียกว่ามันเป็นหุ้นสุดยอดหายนะ เพราะขาดทุนหุ้นหนัก

อย่างไรก็ตาม หุ้นตัวนั้นไม่ทำให้พวกเขาล้มละลายหรือต้องเลิกเล่นหุ้นไปเลย พวกเขาก็มักจะ Move on หรือไปหาหุ้นตัวใหม่ที่คิดว่าจะทำกำไรได้รวดเร็วและขายออกไปทัน นักสังเกตการณ์บางคนเรียกพวกเขาว่าเม่า ที่เป็นนักเล่นหุ้นรายย่อยจำนวนมากที่ชอบเล่นหุ้นที่ขึ้น-ลงรวดเร็วที่พวกเขาจะสามารถทำกำไรได้ในช่วงเวลาสั้นๆ

จากการสังเกตการณ์ของผมเองนั้นพบว่า หุ้นที่มีลักษณะหรืออาการดังกล่าวนั้นมักจะมาจากหุ้นอย่างน้อย 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ผมเรียกว่า Pseudo Growth หรือหุ้นกลุ่มเติบโตเทียม กลุ่ม Pseudo Super Stock หรือหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียม และกลุ่ม Fraud หรือกลุ่มหุ้นโกง โดยที่หุ้นบางตัวนั้นอาจมีลักษณะคาบเกี่ยวกับทั้ง 3 กลุ่มได้ เช่น สร้างภาพว่าเป็นหุ้นโตเร็ว แต่ในขณะเดียวกันมีการโกงโดยการแต่งบัญชีอย่างผิดกฎหมายหรือผิดหลักการทางบัญชีด้วย เป็นต้น

วิธีจับผิดหุ้นเติบโตเทียม

วิธีสังเกตว่าหุ้นตัวไหนอาจเข้าข่ายเป็นหุ้นเติบโตเทียมคือ ผู้บริหารมักจะมีโปรเจกต์ใหม่มากมายเป็นสไตล์เจ้าโปรเจกต์ และสิ่งที่ทำมากที่สุดเพราะจะทำให้เห็นผลรวดเร็วก็คือการทำ M&A หรือซื้อกิจการหรือซื้อหุ้นของบริษัทที่ทำกำไรอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้กำไรของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นบริษัทโตเร็วหรือหุ้นเติบโต ยิ่งบริษัทที่ซื้อเข้ามาอยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต ภาพของบริษัทก็ยิ่งดูเติบโตเร็วมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ดูไฮเทคหรือเป็นดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จจริงๆ ก็หาซื้อได้ยากและจะต้องจ่ายราคาหุ้นที่แพงมากจนอาจไม่คุ้ม

ดังนั้น ธุรกิจหรือหุ้นที่ซื้อมาจึงมักจะไม่ดี และ/หรือแพงเกินไป โดยมักจะเป็นธุรกิจที่มีกำไรดีในตอนที่ซื้อ แต่อนาคตมักจะแย่ลงเพราะกำไรนั้นไม่โตหรือไม่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น บริษัทลีสซิ่ง หรือปล่อยกู้ส่วนบุคคลรายย่อย หรือไม่ก็เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเล็ก เป็นต้น ในส่วนของธุรกิจใหม่แห่งอนาคตอาจกลายเป็นการลงทุนในเหรียญคริปโตเคอร์เรนซี หรือการทำเหมืองขุด Bitcoin ในช่วงที่คริปโตฯ กำลังให้ผลตอบแทนที่ดีมาก เป็นต้น

หนี้สินที่พอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วก็เป็นอีกอาการหนึ่งของกลุ่มหุ้นเติบโตเทียม เพราะบริษัทต้องใช้เงินจำนวนมากไปซื้อกิจการที่บางทีก็ใหญ่กว่าตัวเอง และนี่เป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้บริษัทมีปัญหา เพราะบริษัทและกิจการที่ซื้อมาอาจประสบปัญหาจากภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายลง และกิจการขายสินค้าที่เป็นแนวโภคภัณฑ์ที่ยอดขายและกำไรผันผวนสูงมาก ทำให้ฐานะทางการเงินรองรับไม่ได้และกลายเป็นบริษัทที่มีปัญหาในที่สุด

หายนะหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียม

กลุ่มหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียมนั้นแตกต่างจากหุ้นเติบโตเทียมในแง่ที่ว่า ตัวบริษัทเองมีคุณสมบัติที่อาจเป็นซูเปอร์สต๊อกหลายอย่าง เช่น บริษัทมีแบรนด์หรือมียี่ห้อที่โดดเด่นในสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ถึงระดับแบบซูเปอร์สต๊อก

บริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่เป็นเมกะเทรนด์ เช่น อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการรับทำโปรแกรมเขียนระบบงานต่างๆ หรือให้บริการ เช่น ความปลอดภัยหรือการเก็บรักษาข้อมูลดิจิทัล แต่ที่จริงแล้วไม่ได้มีความสามารถในการขยายตัวหรือผูกขาดธุรกิจอะไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง หรือบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรม และ/หรือเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม แต่มีปัญหาแบบเดียวกันที่จะต้องแข่งขันและมีข้อจำกัดในการเติบโต ซึ่งรวมถึงการที่ต้องมีบุคลากรและสถานที่ที่ไม่ได้ขยายตัวได้ง่าย หรือพูดง่ายๆ Scalable ยาก

สรุปก็คือ สิ่งที่ซูเปอร์สต๊อกเทียมขาดนั้นมักจะอยู่ที่ว่าการเติบโตในระยะยาว มีข้อจำกัดมาก เช่นเดียวกับความสามารถในการแข่งขันที่มักจะไม่แข็งแรงพอ แต่การที่ในช่วงแรกเห็นการเติบโตค่อนข้างโดดเด่นนั้นอาจมาจากสถานการณ์พิเศษที่ค่อนข้างเอื้ออำนวย หรือการที่ผลประกอบการโดดเด่นหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้คนเชื่อได้ง่ายว่าบริษัทเป็นสุดยอดกิจการ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมาก และค่า P/E มักจะสูงลิ่ว ทำให้หุ้นไม่สามารถเป็นซูเปอร์สต๊อก แต่กลายเป็นหุ้นซูเปอร์สต๊อกเทียมที่ทำให้หุ้นตกลงมาเป็นหายนะได้

เปิดสารพัดกลโกง

หุ้นโกงคือหุ้นที่เจ้าของ และ/หรือผู้บริหารตั้งใจโกงบริษัทและนักลงทุนที่เข้ามาเล่นหุ้น หุ้นบางตัวนั้นเจ้าของและอาจรวมถึงนักลงทุนรายใหญ่หรือเซียนวางแผนตั้งแต่แรกที่จะเข้ามาหาเงินในบริษัทและตลาดหุ้น อาจโดยการเทกโอเวอร์บริษัทเป้าหมายด้วยวิธีการซื้อหุ้นทั้งหมด หรือแลกหุ้นซึ่งไม่ต้องใช้เงินสด จากนั้นก็สร้างสตอรี ปั้นบริษัทให้เป็นหุ้นแบบเติบโตเทียม สร้างกำไรโดยการแต่งบัญชี ไซฟ่อนเงินจากกิจการโดยตรง ซึ่งมักจะทำในบริษัทลูก โดยเฉพาะกิจการที่อยู่ในต่างประเทศ เป็นการโกงเงินจากบริษัท นอกจากนั้น ยังโกงเงินจากนักลงทุนในตลาดหุ้น โดยการสร้างราคาหุ้นและชวนนักลงทุนทั้งสถาบันและนักลงทุนส่วนบุคคลเข้าซื้อหุ้นที่ราคาแพงเพราะคิดว่าเป็นหุ้นเติบโต

การโกงนั้นถ้าจะพูดแบบกว้างคือ มักจะเป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่งของหุ้นที่ดีสุดยอดก่อนจะถึงหายนะเกือบทุกกลุ่ม แต่ในกรณีแบบนี้จะเป็นการโกงแบบที่จับไม่ได้ และอาจเป็นการโกงที่ไม่รุนแรงแบบกลุ่มหุ้นโกงที่สุดท้ายจะถูกเปิดโปงและคนที่ทำอาจต้องโดนคดีอาญาแผ่นดิน ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารหรือเจ้าของโกงโดยการแต่งบัญชีที่ไม่ผิดกฎหมาย เช่น เปลี่ยนรายจ่ายบางอย่างให้เป็นรายการลงทุน หรือเลื่อนสถานะลูกหนี้ที่ควรจะเป็นหนี้เสีย และต้องตั้งสำรองออกไป หรือบางทีก็ซื้อของจากบริษัทโดยตัวเองเพื่อสร้างรายได้และกำไรเทียม เป็นต้น

แต่จะไม่เหมือนกับการโกงดื้อๆ เพราะบริษัทจะพยายามเคลียร์ส่วนที่โกงไว้ในอนาคต โดยอาจค่อยๆ เกลี่ยเงินรายได้และกำไรในอนาคตกลับคืนมาหลังจากที่หุ้นหมดสภาพเป็นหุ้นสุดยอดและกลายเป็นหุ้นหายนะไปแล้ว ด้วยวิธีการนี้คนที่ทำก็ลอยนวลและรวยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ สิ่งที่เสียเป็นเพียงชื่อเสียงที่ครั้งหนึ่งนักลงทุนคิดว่าเป็นผู้บริหารที่สุดยอดในการสร้างผลงานของบริษัท

และนั่นนำมาสู่สัญญาณของหุ้นสุดยอด…หายนะ สุดท้ายที่จะพูดถึงนั่นคือ ผู้บริหารมักจะเป็นคนดังที่ให้สัมภาษณ์และแถลงข่าวและผลงานถี่ยิบ ไม่ว่าจะสำคัญหรือไม่ พวกเขาชอบที่จะคาดการณ์ผลประกอบการที่สดใสและการเติบโตสุดยอดที่จะตามมาในไม่ช้า พวกเขามั่นใจว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทจะโตขึ้นเป็นหลายๆ เท่าในเวลาอาจแค่ 3-4 ปี ที่บริษัทจะมี Market Cap เป็นหมื่นล้านบาทถ้าบริษัทยังเล็กมาก แต่บ่อยครั้งสำหรับบริษัทระดับกลางที่จะมีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท หลายคนแสดงความมั่นใจโดยการซื้อหุ้นของบริษัทต่อเนื่องแม้ว่าราคาจะขึ้นสูงมากแล้ว

แต่ในขณะเดียวกัน ขายหุ้นล็อตใหญ่ให้นักลงทุนรายใหญ่และสถาบันลงทุนที่กำลังอินมากกับสตอรีของบริษัท และราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นต่อเนื่องและมีขนาดที่ใหญ่และสภาพคล่องในการซื้อขายที่เพียงพอสำหรับการลงทุน แต่นั่นมักจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นจะไม่ขึ้นไปเร็วอีกต่อไป และอาจกำลังตกลงมา บางทีเป็นหายนะ


กำลังโหลดความคิดเห็น