โบรกเกอร์ มองซาอุดิอาระเบีย ประกาศปรับลดกำลังผลิตน้ำมัน 1 ล้านบาร์เรล/วัน ส่งสัญญาณราคาน้ำมันผ่านจุดต่ำสุดแล้ว หนุนกลุ่มโรงกลั่นมีกำไรสต็อก พร้อมแนะจับตา PTTEP และ PTT รับอานิงส์ ดันผลงานฟื้นตัว
ดาโอ มองมุมบวกกลุ่มโรงกลั่นกำไรสต๊อก คงน้ำหนักลงทุนเท่าตลาด
บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ จาก บล.ดาโอ (ประเทศไทย ) เปิดเผยว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโนมราคาน้ำมันดิบ โดยเชื่อว่าข่าว OPEC+ เตรียมที่จะขยายการลดกำลังการผลิตน้ำมันในปี 2024E และการที่ซาอุฯประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มเติม โดยสมัครใจจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาน้ำมันในระยะสั้น นอกจากนี้ มองว่าการปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจเพิ่มเติมของซาอุฯเป็นการส่งสัญญาณว่าราคาน้ำมันดิบก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นช่วงระดับต่ำสุดที่ OPEC+ (โดยเฉพาะซาอุฯ) รับได้และพร้อมที่จะทำการตัดสินใจเพิ่มเติมเพื่อประคองราคาน้ำมันให้ไม่ต่ำกว่า USD70/bbl
ทั้งนี้ที่ประชุมกลุ่มโอเปกพลัสเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มิ.ย.2566 ที่ผ่านมา โดยซาอุดิอาระเบียได้ประกาศการปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจลงอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเมื่อเดือนเม.ย.2566 ที่ปรับลดไปแล้ว 5 แสน บาร์เรลต่อวัน รวมการปรับลดการสมัครใจของกลุ่มโอเปกอยู่ที่ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อ วัน ทำให้กำลังการผลิตของซาอุดิอาระเบียจะอยู่ที่ 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน
โดยราคาสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้า Brent ได้ ปรับตัวสูงขึ้นมาแล้วประมาณ 3.3% ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา เป็น USD76.7/bbl เรายังคงมุมมองว่า ราคาน้ำมันดิบจะฟื้นตัว HoH ใน 2H23E จากอุปทานที่ตึงตัวมากขึ้นและจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวจาก จีน ทั้งนี้ในเบื้องต้น ยังคงประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปี 2023E ที่ USD80.0/bbl
ยังคงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน และชอบหุ้นพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่น ที่น่าได้ประโยชน์จากแนวโน้มราคาน้ำมันสูงขึ้น ชอบหุ้น PTTEP (ซื้อ/เป้า 175.00 บาท), SPRC (ซื้อ/เป้า 10.50 บาท) และ TOP (ซื้อ/เป้า 60.00 บาท) โดย เชื่อว่า ราคาหุ้น PTTEP มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบที่น่าจะฟื้นตัว ขณะที่โรงกลั่นมีโอกาส สูงขึ้นที่จะเห็นกำไรจากสต็อกน้ำมัน (stock gain)
ASPS เชียร์ PTTEP-PTT รับอานิงส์ซาอุฯ ลดกำลังผลิตน้ำมัน
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า การปรับกำลังการผลิตโดยสมัครใจของซาอุดิอาระเบียในครั้งนี้ได้ระบุกรอบระยะเวลาเบื้องต้น ไว้ที่เป็นระยะเวลา 1 เดือน เริ่มในเดือน ก.ค. 2566 แต่สามารถขยายกำลังการผลิตที่ปรับลดนี้ได้ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยพยุงราคาน้ำมันไม่ให้ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ที่ประชุมกลุ่มโอเปกพลัสยังได้มีมติที่จะขยายการปรับลดกำลังการผลิต โดยสมัครใจที่เริ่มใช้ในเดือน เม.ย.2566 ที่ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน (แบ่งเป็นรัสเซีย 5 แสนบาร์เรลต่อวัน และสมาชิกอื่นๆในโอเปกพลัส 1.16 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ไปจนถึง สิ้นปี 2567 จากเดิมจะสิ้นสุดลง 2566 (ส่วนมติการปรับลดเดิมที่มีอยู่มาตั้งแต่เดือน ต.ค. 2565 ที่ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และสิ้นสุดลงในสิ้นปี 2566 ยังไม่มีความชัดเจนว่า จะใช้ต่อในปี 2567 หรือไม่)
ทั้งนี้มติที่ประชุมกลุ่มโอเปกพลัสล่าสุดดังกล่าว เป็นการพยายามที่จะปรับปริมาณ supply ในตลาดน้ำมันดิบของโลกให้อยู่ในภาวะสมดุลมากที่สุด เพื่อพยุงราคา น้ำมันดิบให้มีเสถียรภาพ ประกอบกับกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกพลัส คิดเป็นประมาณ 40% ของกำลังการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก ดังนั้นคาดนโยบายการ ปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกน่าจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของ ราคาน้ำมัน โดยมุมมองราคาน้ำมันของประเทศสมาชิกหลักที่ออกมาเปิดเผยไว้คือไม่ ควรต่ำกว่า 80 เหรียญฯต่อบาร์เรล ดังนั้นจึงเป็นที่มาของการปรับลดกำลังการผลิต อีกระลอกของกลุ่มโอเปกพลัสในครั้งนี้ (สำหรับการประชุมกลุ่มโอเปกครั้งต่อไปจะ เกิดขึ้นในวันที่ 26 พ.ย.2566)
โดยมุมมองของฝ่ายวิจัยคาดทิศทางราคาน้ำมันน่าจะมี downside ที่จำกัดมากขึ้น จากการจำกัด supply แต่การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันจะไปได้สูงและมีเสถียรภาพ มากน้อยเพียงใดจะขึ้นอยู่กับด้านความต้องการใช้ ซึ่งแปรผันหลักตามอัตราการ เติบโตทางเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งคาดจะมีมุมมองที่ดีขึ้นในช่วง 2H66 เมื่อ เทียบกับ 1H66 จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศที่มีมากขึ้น ซึ่งในช่วงสั้นภาพรวมถือเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มปิโตรเลียมหลัก ได้แก่ PTTEP และ PTT ขณะที่ในส่วนของกลุ่มโรงกลั่นนั้นยังต้องดูทิศทางราคาน้ำมัน สำเร็จรูปประกอบด้วย เพราะการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบจะเป็นต้นทุนของกลุ่ม