หุ้นบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY กำลังเดินทางกลับบ้านเก่า ราคาหุ้นปักหัวลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อวันศุกร์ที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทรุดทะลุดิน ลงต่ำกว่าเพดาน 30%
ตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ปรับเกณฑ์การซื้อขายใหม่ มีผลตั้งแต่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นหรือลง สูงหรือต่ำกว่าเพดาน 30% ได้อีก 1 ช่องราคา ซึ่ง BEAUTY เป็นหุ้นตัวแรกที่ประเดิมเกณฑ์ลงทะลุฟลอร์ 30%
หุ้น BEAUTY ถูกถล่มขายอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 0.74 บาท ลดลง 33 สตางค์ หรือลดลง 30.84% มูลค่าซื้อขาย 84.74 ล้านบาท
ราคาปิดหุ้น BEAUTY เป็นราคาต่ำสุดนับจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 หลังจากนำหุ้นเสนอขายนักลงทุนเป็นครั้งแรกในราคา 8 บาท จากพาร์ 1 บาท และแตกพาร์จาก 1 บาท เหลือพาร์ 10 สตางค์ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558
BEAUTY เป็นผู้จำหน่ายปลีกเครื่องสำอางและบำรุงผิว เป็นหุ้นกลุ่มความงามตัวแรกที่เข้าจดทะเบียน และถูกโหมกระพือถึงแนวโน้มการเติบโตที่สดใส นักวิเคราะห์เชียร์กันหูดับตับไหม้ ขณะที่ผู้บริหารบริษัทฯ สร้างข่าวกระตุ้นราคาจนแมลงเม่าแห่เข้าไปเก็งกำไร
ช่วงกลางปี 2561 หุ้น BEAUTY ร้อนสุดขีด ราคาถูกลากขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 23.70 บาท และช่วงนั้นผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มไกรภูเบศ ได้ระบายขายหุ้นออกมา ก่อนที่ราคาหุ้นจะไหลลง ล่าสุดลงจนหลุดราคาจองที่ 80 สตางค์ ตามพาร์ใหม่ 10 สตางค์ หลังจากหุ้นเข้ามาซื้อขาย 11 ปี
ราคาหุ้นที่ทรุดฮวบเกิดจากผลประกอบการที่ทรุดลงต่อเนื่อง ขาดทุนหลายปีติดต่อ โดยปี 2563 ขาดทุนสุทธิ 104.88 ล้านบาท ปี 2564 ขาดทุนสุทธิ 88.77 ล้านบาท ปี 2565 ขาดทุน 67.68 ล้านบาท และไตรมาสแรกปีนี้ ขาดทุน 6.23 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกปีก่อนที่ขาดทุน 2.92 ล้านบาท
ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าผลประกอบการของ BEAUTY จะพลิกฟื้น ไม่มีสัญญาณการกลับตัวของราคาหุ้น นอกจากแนวโน้มที่จะดิ่งลงเหวนรกต่อไป และทำให้นักลงทุนที่ติดหุ้นไว้รอคอยอย่างสิ้นหวัง เพราะมองไม่เห็นอนาคตหุ้น แต่จะขาดทุนขายก็ทำใจไม่ได้ เพราะเสียหายแทบหมดตัว
BEAUTY เป็นอีกหนึ่งผลงานของตลาดหลักทรัพย์ จากนโยบายการรับหุ้นใหม่ในเชิงปริมาณ เพราะต้องการสร้างภาพความใหญ่โตของตลาดหุ้น ต้องการรายได้จากค่าธรรมเนียมจากการรับหุ้นใหม่
และค่าต๋งจากมูลค่าซื้อขายหุ้นที่โตขึ้น ซึ่งจะทำให้พนักงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทุกระดับอยู่ดีกินดี เงินเดือนสูง สวัสดิการเพียบ โบนัสงาม
แต่ประชาชนผู้ลงทุนวายวอด และไม่ได้วายวอดจากหุ้น BEAUTY เพียงตัวเดียว แต่วายวอดกับหุ้นที่อยู่ในสภาพผีตายซากอีกนับ 10 บริษัท ซึ่งมีนักลงทุนพลัดหลงเข้าไปซื้อหุ้นจำนวนนับแสนราย
สำหรับ BEAUTY มีผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนทั้งสิ้น 28,659 ราย หลังปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นวันที่ 14 มีนาคม 2566 และผู้ถือหุ้นเฉียด 3 หมื่นชีวิต ตกอยู่ในฐานะผู้เสียหาย วอดวายไปกับหุ้นตัวนี้
ตายหมู่ไปกับหุ้น BEAUTY และไม่อาจร้องขอความช่วยเหลือใด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไกรภูเบศ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งปล่อยให้บรรดาหุ้นอันตรายเข้ามาสูบเงินนักลงทุนในตลาดหุ้น
จากราคาที่ลากขึ้นไปสูงสุด 23.70 บาท นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากเข้าไปเล่น แต่วันนี้รูดลงเหลือ 74 สตางค์ หุ้น DEAUTY แสบสันจริงๆ