กลุ่มธนาคารยูโอบี ประกาศผลกำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 2566 ที่ 1.6 พันล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 74 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา ตัวเลขผลประกอบการฟื้นตัวดีขึ้นและรายได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิขยายตัว 56 จุด ส่งผลให้รายได้จากดอกเบี้ยรับปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 43 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นจากรายได้จากการค้าและการลงทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งช่วยชดเชยรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการที่ปรับตัวลดลง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตของธุรกิจ Wholesale, Global Markets และกลุ่มลูกค้ารายย่อย เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งดีดตัวกลับอย่างแข็งแกร่งเนื่องจากทัศนคติของนักลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตยังคงได้รับแรงโมเมนตัมที่ดี และธนาคารมีเงินกันสำรองในไตรมาสแรกปี 2566 ยังคงอยู่ในความคาดหมายที่ 25 จุด อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คงที่ที่ร้อยละ 1.6 งบดุลของกลุ่มธนาคารยังคงแข็งแกร่ง มีสภาพคล่องที่เหมาะสมและอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของที่ร้อยละ 14.0
"ปัญหาเสถียรภาพของภาคการธนาคารในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเมื่อไม่นานมานี้ส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดและเพิ่มความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตของทั่วโลก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่ท้าทายเช่นนี้ การบริหารจัดการอย่างรอบคอบและเป้าหมายในระยะยาวถือเป็นประโยชน์ต่อธนาคารเป็นอย่างมาก ไตรมาสนี้ ผลกำไรของธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากธุรกิจหลักต่างๆ และปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตแบบกระจายตัว นอกจากนี้ เรายังมุ่งมั่นเสริมงบดุลของเราให้แข็งแกร่ง เพื่อให้เรายังคงสนับสนุนลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะอยู่ในวัฏจักรตลาดระยะใดก็ตาม ขณะที่การซื้อกิจการซิตี้ดำเนินไปได้ด้วยดี แผนการดำเนินการในอินโดนีเซียเป็นไปตามที่วางไว้และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี หลังเสร็จสิ้นการซื้อกิจการในมาเลเซีย ไทย และเวียดนาม เมื่อเราขยายแฟรนไชส์ในระดับภูมิภาคออกไป เราจะยังคงทุ่มเม็ดเงินลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและเสริมสร้างพันธมิตร โดยเราคาดว่าเศรษฐกิจของเอเชียจะเติบโตขึ้นในปีนี้ และธนาคารอยู่ในสถานะที่ดีในการรับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาค เนื่องจากเรามีงบดุลที่แข็งแกร่ง พร้อมด้วยสถานะเงินและสภาพคล่องที่มั่นคง" นายวี อี เชียง รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธนาคารยูโอบีกล่าว
สำหรับผลกำไรหลักสุทธิไตรมาสแรกปี 2566 อยู่ที่ระดับ 1.58 พันล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ หากรวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้ว กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31 หรืออยู่ที่ 1.51 พันล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ โดยรายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิปรับลดลงเล็กน้อยร้อยละ 6 ที่ 2.41 พันล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากช่วงระยะเวลาไตรมาสที่มีระยะสั้นกว่าปกติ รวมถึงส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวลดลงที่ร้อยละ 2.14 จากสภาพคล่องส่วนเกินในสินทรัพย์คุณภาพสูงและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิขยายตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเลข 2 หลัก ที่ร้อยละ 14 อยู่ที่ 552 ล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการความมั่งคั่งเนื่องจากทัศนคติของนักลงทุนปรับตัวดีขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อซึ่งฟื้นตัวดีขึ้นจากรายได้ที่ลดลงในไตรมาสที่ผ่านมา ค่าธรรมเนียมบัตรเดรดิตยังคงมีแรงโมเมนตัมที่ดี โดยได้รับแรงส่งจากการซื้อกิจการลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ปใน 3 ประเทศ
ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นแตะระดับ 563 ล้านสิงคโปร์ดอลลาร์ รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าปรับตัวแตะระดับสูงสุดใหม่โดยได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ ผลประกอบการที่ดีขึ้นจากกิจกรรมบริหารจัดการการค้าและสภาพคล่องยังช่วยผลักดันให้รายได้จากการค้าและการลงทุนปรับตัวดีขึ้นสร้างสถิติสูงสุดใหม่ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 2 แต่เนื่องจากรายได้มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า จึงส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นที่ร้อยละ 40.9 กลุ่มธนาคารยูโอบียังคงลงทุนอย่างต่อเนื่องในการเสริมสร้างขีดความสามารถเพื่อขับเคลื่อนความคิดริเริ่มเชิงยุทธศาสตร์ พร้อมรักษาวินัยการบริหารจัดการต้นทุน และเงินกันสำรองรวมปรับลดลงร้อยละ 8 เนื่องจากเงินกันสำรองแบบเฉพาะรายลดต่ำลง อย่างไรก็ตาม ธนาคารได้ตั้งเงินกันสำรองทั่วไปเพื่อความรอบคอบในการเสริมความคุ้มครอง