xs
xsm
sm
md
lg

ASPS-KGI มองต่างมุม ประเมินเป้า SET Index ปีนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอเซียพลัส-เคจีไอ มองต่างมุมเป้าหมาย SET Index ปีนี้ เอเซียพลัส คงเป้าที่ 1,610 จุด ส่วนการกำไรปี 2566 บจ. อยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 91.8 บาท/หุ้น แนะนำดัชนียังต่ำกว่า 1,610 จุด ถือเป็นจุดน่าสะสมหุ้น ขณะที่เคจีไอ หั่นเป้าลงจากเดิมที่ 1,730 จุด เหลือ 1,670 จุด เชียร์หุ้นธีมการบริโภค และท่องเที่ยว แต่แนะจับตานโยบายประชานิยมรัฐบาลใหม่อาจกดดันต้นทุนภาคธุรกิจ

ASPS คงเป้า SET สิ้นปี 1,610 จุด กำไร บจ. ทั้งปี 91.8 บาท/หุ้น

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASPS) เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า ยังคงประมาณกำไร บจ. 2566 และเป้าหมายดัชนีที่ 1,610 จุด หลังจากบริษัทจดทะเบียนรายงานกำไรงวด 1Q66 ออกมา 2.66 แสนล้านบาท คิดเป็น Market Cap ราว 96% และคิดเป็น 23% ของประมาณการทั้งปี (+59%QoQ และ -8%YoY)

หากพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรม จะเห็นว่ามีกลุ่มที่กำไรเติบโต QoQ เช่น PETRO, CONS, CONMAT, ENERG, MEDIA, PKG, INSUR, ICT, BANK, AUTO, HELTH เป็นต้น ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจ หรือ GDP ในช่วง 1Q66 เติบโต +1.9%QoQ และ +2.7%YoY สูงกว่าตลาดคาดที่ +1.8%QoQ และ +2.3%YoY โดยมี แรงหนุนจากทั้งภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ และการบริโภคของประชาชนในช่วง ต้นปี ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจสามารถกลับมายืนเหนือสมมติฐานระดับก่อนเกิดโควิดได้แล้ว

ขณะที่ประมาณการกำไรปี 2566 ของฝ่ายวิจัยฯ อยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น EPS66F ที่ระดับ 91.8 บาท/หุ้น แต่ด้วยฐานกำไรปี 2565 ที่ต่ำอยู่ที่ 1.01 ล้านบาท คิด เป็น EPS65 เท่ากับ 81.5 บาท/หุ้น แสดงให้เห็นว่ากำไรปี 2566 ยังมีอัตราการเติบโต หรือ EPS Growth66F ถึง 12.6%

ดังนั้น เป้าหมายดัชนี SET Index ยังคงเดิม กล่าวคือ อิงกับระดับ MEYG 4.00% (ค่าเฉลี่ย ย้อยหลัง 10 ปี) หรือคิดเป็น PE ระดับ 17.54 เท่า เมื่อนำมาคูณกับ EPS66F 91.8 บาท/หุ้น จะได้ผลลัพธ์ คือ ดัชนีเป้าหมายปลายปีที่ 1,610 จุด

ส่วนดัชนีปัจจุบันที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 1,610 จุด ต้องถือเป็นจุดน่าสะสมหุ้นเพิ่มเพื่อได้ผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาว

KGI หั่นเป้า SET เป็น 1,670 จุด จาก 1,730 จุด

บล.เคจีไอ ระบุว่า ใน 1Q66 กำไรบริษัทจดทะเบียนโดยรวมออกมาดีกว่า consensus 9% หลังจากที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยออกมาแย่ใน 4Q65 ปรากฏว่าผลประกอบการใน 1Q66 ออกมาดีขึ้นจากฐานกำไรที่ค่อนข้างต่ำ โดยกำไรสุทธิใน 1Q66 ของหุ้นที่ KGI ศึกษาอยู่ยังลดลง 4.8% YoY แต่ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งถึง 63.9% QoQ เพราะกำไรของหุ้น cyclical ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีพุ่งแรง QoQ

ทั้งนี้ กำไรโดยรวมออกมาดีกว่า consensus 9% โดยมีบริษัท 35% ที่ผลประกอบการออกมาดีกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์ ในขณะที่อีก 41% เป็นไปตามประมาณการ และมีเพียง 23% ที่แย่กว่าประมาณการ หุ้นกลุ่มพลังงานและโรงแรมหลายตัวมีกำไรดีเกินคาด ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์แย่สุดในบรรดาหุ้นกลุ่มหลัก จึงมองว่าใน 1Q66 ไม่มีกลุ่มไหนที่นำโด่งชัดเจนในแง่ % ของกำไรที่สูงกว่าประมาณการ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังงานและโรงแรมมีสัดส่วนของหุ้นในกลุ่มที่ผลประกอบการดีเกินคาด (beatto-below ratio) ค่อนข้างสูง (figure 3) ทั้งนี้ กลุ่มพลังงานได้อานิสงส์จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งตามฤดูกาลของกลุ่มโรงกลั่น ในขณะที่กลุ่มโรงแรมยังคงเกาะกระแสการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของการท่องเที่ยว สำหรับกลุ่มที่ผลประกอบการอ่อนแอ พบว่ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มีผลประกอบการแย่ที่สุดเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มหลักอื่นๆ สอดคล้องกับที่ให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มนี้ที่ Underweight

ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการปรับลด consensus EPS ของบริษัทจดทะเบียนไทยในปี 2566 ลงอย่างชัดเจนมากขึ้นเหลือ 97 และมองว่าประมาณการ EPS ของบริษัทที่ KGI ศึกษาอยู่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 104 อาจจะต้องมีการปรับลดลงอีกเล็กน้อยในช่วงสัปดาห์ต่อๆ ไป เพราะหลังจากที่มีการ ประกาศตัวเลข GDP ใน 1Q66 ออกมาที่ระดับปานกลาง นักเศรษฐศาสตร์จึงกำลังปรับลดประมาณการ GDP ปีนี้ลงจากประมาณการปัจจุบันที่ 4.1%

อย่างไรก็ตาม มองว่าที่ระดับปัจจุบันดัชนี SET ยังมี value ดีอยู่ แม้จะมีการปรับลดเป้า ดัชนี SET ลงก็ตาม โดยได้ปรับลดมูลค่าเหมาะสมของดัชนีในปี 2566 ลงจากเดิมที่ 1,730 จุด เหลือ 1,670 จุด อิงจาก PE เป้าหมายที่ 16.0x

แนะหุ้นธีมบริโภค-การท่องเที่ยว จับตานโยบายรัฐบาลใหม่

มองว่าความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่ และความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยจะเป็น 2 ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นในตลาดฟื้นตัวได้ ในขณะเดียวกัน เรายังคงเน้นหุ้นในธีมการบริโภค และการท่องเที่ยว อย่างเช่นกลุ่มธนาคาร commerce และโรงแรม ซึ่งได้แก่ BBL*, KTB*, CPALL*, HMPRO* และ ERW

นอกจากนี้ นโยบายเชิงประชานิยมของรัฐบาลใหม่ เช่น การขึ้นค่าแรงทั่วประเทศ จะส่งผลให้บริษัทต่างๆ ต้องระมัดระวังกับด้านต้นทุนมากขึ้น ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะกดตลาดในระยะสั้น แต่ดัชนี SET ยังมีมูลค่าน่าสนใจ แม้ว่าได้ปรับลดเป้าหมายดัชนีลงอีกจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากมีประเด็นอย่างเช่น i) รายละเอียดของ MoUs ระหว่างพรรคก้าวไกล และพรรคการเมืองอื่นๆ และ ii) การมีส่วนร่วมของสมาชิกวุฒิสภาในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ภาวะตลาดในระยะสั้นจึงถูกกดดันอยู่


กำลังโหลดความคิดเห็น