นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บรรดากูรูหุ้น ประเมินกันว่า ผลการเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา จะเป็นปัจจัยในเชิงบวก กระตุ้นให้ตลาดหุ้นกระเตื้องขึ้น เช่นเดียวกับการเลือกตั้งในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่า ดัชนีหุ้นกลับทรุดลงอย่างหนัก พลิกจากความคาดหมายของทุกฝ่าย
พรรคฝ่ายค้านมีชัยอย่างท่วมท้น เหนือฝ่ายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยพรรคก้าวไกลชนะถล่มทลาย ได้คะแนนเสียงอย่างไม่เป็นทางการ 151 เสียง ตามด้วยพรรคเพื่อไทย ตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยคะแนน 141 เสียง ซึ่งสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากได้ และยังมีพรรคที่เป็นพันธมิตรอีกกว่า 10 เสียง
แต่การจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ง่ายนัก เพราะนโยบายของพรรคก้าวไกลในบางด้านอาจสร้างความหวั่นวิตกให้พรรคการเมืองที่จะเข้าร่วม กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเจรจาต่อรอง และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน จนนำไปสู่การเทขายหุ้น
เปิดการซื้อขายหุ้นวันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังรู้ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นในช่วงแรก ก่อนจะถูกเทขายจนดัชนีปักหัวลง จนปิดตลาดที่ระดับ 1,541.38 จุด ลดลง 19.97 จุด มูลค่าซื้อขาย 68,385.47 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนสถาบัน พอร์ตโบรกเกอร์พร้อมใจกันเทขายหุ้น แม้จะขายกลุ่มละไม่กี่ร้อยล้านบาทก็ตาม โดยนักลงทุนรายย่อยเป็นผู้ซื้อกลุ่มเดียว 1,403 ล้านบาท
หุ้นกลุ่มที่ตกเป็นเป้าถล่มขายคือ หุ้นของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ กลุ่มอาหาร ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากนโยบายพรรคก้าวไกล
ประชาชนจำนวนมากอาจฉลองชัยชนะของพรรคก้าวไกล แต่ปฏิกิริยาตลาดหุ้นกลับสะท้อนในเชิงลบกับพรรคก้าวไกล โดยนักลงทุนกังวลว่า อาจเกิดความวุ่นวายทางการเมืองตามมา จึงลดความเสี่ยงโดยระบายหุ้นออก และเน้นขายหุ้นกลุ่มทุนขนาดใหญ่
ดัชนีหลุดแนวรับ 1,550 จุดอีกครั้ง และไม่อาจคาดหมายได้ว่าหุ้นได้ซึมซับรับข่าวร้ายหมดหรือยัง หรือหากจะปรับตัวลงต่อจนถอยหลังลงไปลึกขนาดไหน ลงกว่าการปรับฐานรอบก่อนที่ลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ 1,507 จุดหรือไม่
แนวโน้มตลาดระยะสั้นยังแปรปรวนต่อไป เพราะแม้รู้ผลการเลือกตั้ง และพอประเมินหน้าตารัฐบาลชุดใหม่ได้ แต่สถานการณ์การเมืองยังไม่ลงตัวเสียทีเดียว ซึ่งนักลงทุนทุกกลุ่มยังต้องการความชัดเจนมากขึ้น จึงชะลอการลงทุน รวมทั้งนักลงทุนต่างชาติที่หวังว่าจะกลับมาซื้อหุ้น
บรรยากาศการลงทุนอาจผันผวน หรือซึมอีกสักพักจนกว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะมีความคืบหน้า นักลงทุนจึงทยอยกลับเข้ามาซื้อหุ้นใหม่ และทำให้ดัชนีดีดตัวขึ้นมาใหม่
นักลงทุนรายย่อยเพิ่งขายหุ้นออกเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่กลับมาซื้ออีกแล้ว โดยอาจเห็นว่าหุ้นที่ทรุดหนัก เป็นโอกาสในการซื้อของถูก ทั้งที่ควรรอคอยประเมินทิศทางตลาด โดยชะลอการลงทุนไว้ก่อน เพราะเมื่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยังคลุมเครือ หุ้นมีสิทธิไหลลงต่อได้อีก
ตลาดหุ้นเป็นกระจกสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของนักลงทุนจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองได้อย่างดี การที่ดัชนีหุ้นร่วงกราว หลังผลการเลือกตั้ง อาจสะท้อนว่านักลงทุนกังวลผลกระทบถ้าพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่
เพราะไม่มีประเด็นอื่นที่จะทำให้หุ้นลงเกือบ 20 จุด
เพียงแต่ปฏิกิริยาเชิงลบกับชัยชนะของพรรคก้าวไกล จะฉุดหุ้นรอบนี้ซึ่งนานเพียงใด และดัชนีจะลงลึกขนาดไหน
หรือเพียงการตื่นตูมกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น