บล.เอเซียพลัส ประเมินผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ หลังพรรคก้าวไกล ได้คะแนนนำอันดับ 1 พร้อมจับมือเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล คาดจะเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมาก ส่งผลตลาดหุ้นไทยตอบรับเชิงบวก หนุนฟันด์โฟว์ไหลเข้า แนะจับตา 6 กลุ่มหุ้นรับอานิสงส์ตามนโยบายหาเสียง
ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซีย พลัส เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า หลังจากผลการเลือกตั้ง ส.ส. อย่างไม่เป็นทางการ ที่รายงานโดย กกต. คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พบว่าพรรคการเมืองที่ได้จำนวน ส.ส. สูงที่สุดได้แก่ พรรคก้าวไกล มีจำนวน ส.ส. รวม 151 คน ตามมาด้วย พรรคเพื่อไทย มีจำนวน ส.ส. 141 คน อันดับ 3 ได้แก่ ภูมิใจไทย 70 คน ( ทั้งนี้มีจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ราว 75% ราว 39.2 ล้านคน)
ทั้งนี้ผลการเลือกตั้งดังกล่าว เห็นว่า เกิดการสลับขั้วการจัดตั้งรัฐบาล กล่าวคือ พรรคร่วมฝ่ายค้านเดิม น่าจะเป็นกลุ่มที่มีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาล โดยในเบื้องต้นหากรวมเฉพาะพรรคฝ่ายค้านหลักเดิมอย่าง ก้าวไกล และ เพื่อไทย ซึ่งจำนวน ส.ส. อย่างไม่เป็นทางการที่รายงาน โดยกกต.มีคะแนนเสียงรวมกัน มากถึง 291 เสียง ซึ่งตามหลักการก็ควรได้สิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล
รัฐบาลใหม่น่าจะเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ทั้งนี้ประเมินจากจำนวน ส.ส. ของพรรคที่มีโอกาสร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้น่าจะมีจำนวนเสียงที่มากกว่า พรรคฝ่ายค้านอย่างมีนัยสำคัญ ซื่งน่าจะทำให้ รายชื่อนายกรัฐมนตรีที่เสนอโดยพรรคร่วมที่จัดตั้งรัฐบาลใหม่ น่าจะสามารถผ่านด่านของ ส.ว. ออกไปได้
การเดินนโยบายรัฐบาลน่าจะมีเอกภาพมากขึ้น ด้วยคะแนนเสียงที่กระจุกตัวอยู่ที่ไม่กี่พรรคการเมือง ทำให้จำนวนพรรคร่วมรัฐบาลอาจไม่ได้มีมากนัก ซึ่งโครงสร้างดังกล่าวน่าจะทำให้การเดินหน้านโยบายต่างๆ มีความเป็นเอกภาพและทิศทางที่ชัดเจน
คาดเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก ภายใน ก.ค. นี้
กระบวนการหลังจากนี้ เป็นหน้าที่ของ กกต. ที่จะต้องตรวจสอบ ข้อร้องเรียนต่างๆ ที่มีเข้ามาเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นก็จะทำการวินิจฉัย ให้ใบเหลือง –ใบแดง ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจำนวน ส.ส. อยู่บ้าง แต่ก็น่าจะเป็นส่วนน้อย เมื่อตรวจสอบและวินิจฉัยแล้ว ก็ต้องประกาศรับรอง ส.ส. อย่างเป็นทางการ ภายใน 60 วัน นับจากวันเลือกตั้ง โดยต้องรับรอง ส.ส. ไม่น้อยกว่า 95% หรือ 475 คน เพื่อให้สามารถเปิดประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกได้
จากกรอบเวลาดังกล่าว บนสมมุติฐานว่า กกต. ใช้ระยะเวลาเต็ม 60 วัน ก็น่าจะสามารถเปิดสมัยประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกได้ภายใน ครึ่งแรกของเดือน ก.ค. 2566 หลังจากนั้น ก็จะเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร์ ซึ่งจะดำรงตำแหน่ง ประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งไปด้วย เมื่อได้ตัวประธานสภาผู้แทนราษฎร์แล้ว กระบวนการต่อไป ก็จะเป็นวาระสำคัญ คือการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยจะโหวตจากบัญชีรายชื่อ ที่แต่ละพรรคการเมือง ยี่นต่อกกต. ว่าจะเสนอให้ บุคคลใดเป็นนายกรัฐมนตรี โดยผู้ที่จะผ่านการคัดเลือกต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วย ส.ส. 500 คน และ ส.ว. 250 คน รวม 750 คน หมายความว่าต้องได้คะแนนเสียงสนับสนุน 376 คน ขึ้นไป เมื่อเลือก นายกรัฐมนตรีได้แล้ว ก็จะเป็นการจัดตั้ง ค.ร.ม. นำขึ้นทูลเกล้าฯ และถวายสัตย์ปฎิญาณ ก่อนเริ่มทำหน้าที่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือน ส.ค.2566
และหากเจาะลึกรายละเอียดนโยบายไฮไลท์ของพรรคที่ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ เริ่มจาก
พรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับ 1 คือ พรรคก้าวไกล “เน้นปรับโครงสร้างทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับเพิ่มสวัสดิการทุกช่วงวัย”
พรรคคะแนนเสียงอันดับ 2 คือ พรรคเพื่อไทย “เน้นเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และขยายโอกาส พร้อมกับคาดหวัง GDP กลับมาเติบโตเฉลี่ยอย่างต่ำปีละ 5%”
แนะ 6 กลุ่มหุ้น รับประโยชน์ได้รัฐบาลใหม่
จากพัฒนาการของสถานการณ์การเมืองดังกล่าว เชื่อว่าตลาดหุ้นน่าจะตอบสนองเชิงบวกหากจะเทียบเคียงอารมณ์ อาจคล้ายช่วงเวลาที่ พรรคไทยรักไทย ชนะเลือกตั้งแบบ Landslide ในปี 2544 ซึ่งตอนนั้น SET Index ขึ้น 8.5% ในสัปดาห์แรกหลังเลือกตั้ง และ 19% ใน 1 เดือนหลังเลือกตั้ง หรือน้อยที่สุดน่าจะทำให้ SET Index ปรับขึ้นไปได้ตามข้อมูลเชิงสถิติในอดีต 5 ครั้งหลังสุด กล่าวคือ 3.8% ในสัปดาห์แรกหลังเลือกตั้ง และ 3.1% ในช่วง 1 เดือนแรกหลังเลือกตั้ง โดยมี Fund Flow ไหลเข้าเฉลี่ย 9 พันล้านบาท
ส่วนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายหาเสียง แนะนำ 6 กลุ่มหลักๆ ดังนี้ COMM (CPALL, CRC, HMPRO, COM7), FIN (MTC, SAWAD, TIDLOR) , BANK (KBANK, KTB) , FOOD (SNNP, CBG) , CONS (CK, STEC), CONMAT (SCC)
สรุป ผลการเลือกตั้งแลนสไลด์เป็น ส้ม-แดง หลังจากนี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของ กกต. 60 วัน และเปิดสมัยประชุมรัฐสภาภายในครึ่งแรกของเดือน ก.ค. 2566 ต่อมา คือ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแล้วจัดตั้ง ค.ร.ม. นำขึ้นทูลเกล้าฯ และถวายสัตย์ปฎิญาณก่อนเริ่มทำหน้าที่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือน ส.ค.2566 ซึ่งคาดเห็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากขึ้นจากการสลับขั้วอำนาจ ด้วยประเด็นดังกล่าว หนุนให้ SET Index มีโอกาสปรับขึ้นแรงเฉกเช่นสถิติในอดีตสถิติผลตอบแทนย้อน