แม้จะมีความผันผวนของราคาของบิทคอยน์เมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่แนวโน้มของ Bitcoin ยังคงเป็นขาขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจเพิ่มขึ้นถึงระดับ 35,000 ดอลลาร์ในฤดูร้อนนี้ ซึ่งจากรายงานสถานะของระบบประจำสัปดาห์ที่ 19 ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสภาวะตลาดในปัจจุบัน "Bullish Quadrant" โดยในรายงานเน้นย้ำว่า Bitcoin ยังคงอยู่ในตำแหน่ง Bullish Quadrant ซึ่งบ่งบอกถึงสัญญาณที่สดใสสำหรับอนาคต ขณะที่การปรับฐานระยะสั้น แม้ว่าตลาดอาจพบการปรับฐานในระยะสั้น แต่เสถียรภาพยังคงอยู่ที่ระดับ $27,000 ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตของราคาที่อาจเกิดขึ้น
จากการเปิดเผยของ ระบุว่า u.today จากกิจกรรมเครือข่ายและโหลดที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็นผลให้ราคาของ Bitcoin ลดลงต่ำกว่า EMA 50 วัน ซึ่งแสดงการลดลง 11% ตั้งแต่ระดับสูงสุดในท้องถิ่นที่ 31,000 ดอลลาร์ ทำให้มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้เชื่อว่า Bitcoin สามารถดีดตัวขึ้นและแตะระดับ $35,000 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่การเติบโตของกิจกรรมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ว่ามีความสนใจใน Bitcoin เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจแปลเป็นความต้องการที่สูงขึ้นและราคาที่เพิ่มขึ้นตามมา โดยในขณะที่กิจกรรมเครือข่ายวนเวียนอยู่ที่ระดับสูงสุดตลอดกาลก่อนหน้านี้ ล่าสุดขณะที่เขียน Bitcoin กำลังซื้อขายอยู่ที่ 27,398 ดอลลาร์
ด้านความยืดหยุ่นของตลาด หากพิจารณาในด้านความสามารถของ Bitcoin ในการรักษาเสถียรภาพที่ระดับ $27,000 แม้ว่าจะมีการแก้ไขราคาในระยะสั้น แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของตลาดและความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ การฟื้นตัวของตลาดที่กว้างขึ้น
ในขณะที่ตลาด cryptocurrency โดยรวมยังคงฟื้นตัวจากปัญหาเงินเฟ้อและมาตรการดอกเบี้ยครั้งล่าสุด Bitcoin มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นและความเชื่อมั่นในเชิงบวกในหมู่นักลงทุน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาความเสี่ยงของการลงทุนและพิจารณาเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งตลาด cryptocurrency เป็นที่ขึ้นชื่อในเรื่องความผันผวน และในขณะที่แนวโน้มปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นขาขึ้นในกรอบระยะสั้น เนื่องจากสภาวะตลาดปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
ด้านหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์ส เผยมุมมองแนวโน้มทิศทางการลงทุนเมื่อช่วงปลายเดือนเมษายน ว่าราคาทองคำดีดตัวขึ้นมาถึง 20% ในช่วง 6 เดือนหลังสุด และอุปสงค์ไม่ได้มาจากกลุ่มต้องสงสัยโดยปกติทั่วไป เช่น นักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนรายเล็ก "ที่หาทางป้องกันตนเองจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในระดับต่ำ" แต่มาจาก "ผู้ซื้อรายใหญ่ทั้งหลาย" อย่างเช่นธนาคารกลางของประเทศต่างๆ
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนรายนี้ระบุว่าบรรดาธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ลดการถือครองดอลลาร์เป็นอย่างมากและเสาะหาสินทรัพย์ปลอดภัยทางเลือก โดยเวลานี้ธนาคารกลางต่างๆ มีอุปสงค์ทองคำ คิดเป็นสัดส่วนถึง 33% ของอุปสงค์ทองคำรายเดือนทั่วโลก สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และกำลังยกระดับการเข้าซื้อมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลในปี 1950
"การเข้าซื้อที่เฟื่องฟู ช่วยผลักให้ราคาทองคำแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าที่แบบจำลองต่างๆ บนพื้นฐานอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงบ่งชี้กว่า 50%" เขาอธิบาย พร้อมระบุ "มันชัดเจนว่ามีสิ่งใหม่บางอย่างกำลังขับเคลื่อนราคาทองคำ"
ชาร์มา ชี้ว่าในบรรดาธนาคารกลาง 10 แห่งที่เข้าซื้อทองคำมากที่สุดในโลก มีถึง 9 แห่งที่เป็นธนาคารกลางของเหล่าชาติกำลังพัฒนา ในนั้นรวมถึงรัสเซีย อินเดียและจีน "มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ 3 ประเทศเหล่านี้กำลังเจรจากับบราซิลและแอฟริกาใต้ เกี่ยวกับการสร้างสกุลเงินใหม่เพื่อท้าทายดอลลาร์"
นอกจากนี้ เขายังชี้ว่าอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการแห่ถือครองโลหะมีค่าชนิดนี้คือการยกระดับมาตรการคว่ำบาตรกดดันโดยสหรัฐฯ และพันธมิตร ซึ่งส่งผลให้มีประเทศต่างๆ มากถึง 30% ที่เสี่ยงเผชิญถูกลงโทษจากนานาชาติ เพิ่มขึ้นจากระดับ 10% ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 "ด้วยเหตุนี้ ทองคำ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เก่าแก่ที่สุดและดั้งเดิมที่สุด เวลานี้จึงเป็นเครื่องมือของธนาคารกลางชาติต่างๆ ในการต่อต้านดอลลาร์" ชาร์มา ระบุ
ทั้งนี้บางประเทศเริ่มเสาะหาทางเลือกอื่น หลังจากเห็นทรัพย์สินของรัสเซียในต่างแดนถูกอายัด และรัสเซียถูกตัดขาดจากระบบ SWIFT (เครือข่ายการเงินระดับโลกที่ช่วยให้การโอนเงินข้ามพรมแดนเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว) "โดยทันทีทันใด มันชัดเจนว่าประเทศไหนๆ ก็สามารถตกเป็นเป้าหมายได้" ชาร์มาเขียน
อย่างไรก็ดีจากคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญรายนี้ ระบุว่าสหรัฐฯ มองว่ามาตรการคว่ำบาตรเป็นหนทางที่ไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับต่อสู้กับรัสเซีย แต่ในความเป็นจริงการใช้ดอลลาร์เป็นอาวุธได้กลายเป็นสิ่งที่วอชิงตันต้องชดใช้ โดยแม้กระทั่งพันธมิตรอย่างไทย และฟิลิปปินส์ยังเริ่มมองหาทางเลือกอื่นแล้ว