เมอร์เคิล แคปปิตอล ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกของประเทศไทย เผยบทวิเคราะห์ตลาดคริปโทฯ ประจำเดือน พ.ค. 2566 พร้อมกลยุทธ์การลงทุนรับเทรนด์ BTC Halving ปี 2024 ย้ำตัวเลขฝั่งสหรัฐยังน่าจับตา แนะนำลงทุนระยะยาว รอจังหวะ Bitcoin Outperform
นายภาณุวิชญ์ ไทยานนท์ ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด (Merkle Capital) ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้การกำกับจากสำนักงาน ก.ล.ต. เปิดเผยถึง “มุมมองการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลในเดือนพฤษภาคม” (Macroeconomics Perspective) ว่าภาพรวมเศรษฐกิจของอเมริกาหลังจากตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 1 ออกมาแย่กว่าที่คาด แต่ภายในตัวเลข GDP นั้นฝั่ง Customer Spending นั้นยังดูดีมาก เพียงแต่ฝั่ง Inventory Investment ที่เกี่ยวกับการลงทุนในการสต็อกสินค้านั้นติดลบ ทำให้ตัวเลขออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่อย่างไรก็ตาม Customer Spending นั้นส่งผลทั้งเชิงบวกและเชิงลบ เชิงบวกแสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจว่ายังคงขับเคลื่อนไปได้ แต่ตราบใดที่ผู้คนยังจับจ่ายใช้สอยก็ยิ่งทำให้เงินเฟ้อนั้นลดลงยากขึ้น อย่างไรก็ตามในเดือนพฤษภาคม 2566 นี้มีตัวเลข 3 ตัวที่อาจจะส่งผลต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่
วันที่ 3 พฤษภาคม 2023
FOMC ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย ในรอบนี้ตลาดคาดการณ์ว่าทาง FED อาจจะทำการขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 5.25% ซึ่งทางนักวิเคราะห์มองกันแล้วว่าถ้า FED ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในอัตรานี้จะส่งผลให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลตอบสนองในเชิงบวก เนื่องจากการขึ้น 25 Basis Point ยังถือว่าไม่ได้รุนแรงเกินไป และดอกเบี้ยที่ 5.25% นั้นอยู่ในค่าเฉลี่ยของ FED Dot plot อีกด้วย
วันที่ 5 พฤษภาคม 2023
อัตราการว่างงานของสหรัฐอเมริกา และตัวเลขการจ้างงานรอบนี้น่าสนใจเนื่องจากต้องมองดูว่าผลประกอบการของบริษัทในอเมริกาในไตรมาสที่ 1 ที่ต่างรายงานออกมาว่าได้กำไรนั้น อาจจะมีกำไรจากการเลย์ออฟพนักงานออกไปไม่มากก็น้อย ถ้าตัวเลขออกมาว่าคนว่างงานเยอะขึ้น ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอาจจะมีการตอบสนองในเชิงบวกเนื่องจากตัวเลขนี้อาจจะทำให้ FED ตัดสินใจที่จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยไปมากกว่านี้นั่นเอง
วันที่ 10 พฤษภาคม 2023
ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐอเมริกาหรือ Customer Price Index (CPI) ของเดือนมีนาคมที่ถือว่าเป็นตัวเลขสำคัญที่การันตีว่าในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเงินเฟ้อลดลงอย่างก้าวกระโดดหรือไม่ ถ้าตัวเลขออกมาว่าตัวเลขเงินเฟ้อลดลง แสดงให้เห็นว่าการขึ้นดอกเบี้ยอย่างก้าวกระโดดของ FED นั้นเริ่มออกฤทธิ์แล้ว และอาจส่งผลให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลตอบรับในเชิงบวก เพราะทำให้ FED เริ่มเหยียบเบรคในการขึ้นดอกเบี้ยไปมากกว่านี้ได้
ขณะที่ในส่วนของราคา Bitcoin นั้นหลังจากปรับตัวลงจากข่าวการเข้าตรวจสอบอย่างเข้มข้นของ US Regulator ที่ทำให้ Exchange ชื่อดังอย่าง Coinbase ต้องย้ายที่ทำการออกจาก US ทำให้ราคา Bitcoin กลับมาอยู่ในโซนราคา 28,500 ดอลลาร์ อีกครั้ง ในเดือนนี้ต้องจับตามองเรื่องราวของ US Regulator และ Crypto Exchange ว่าจะมีทางลงหรือทางออกแบบใด โดย Bitcoin ยังคงสามารถทยอยเข้าซื้อได้ในโซนนี้เนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ FED กำลังดันดอกเบี้ยให้อยู่ในจุดที่สูง ดังนั้นการทยอยเก็บของในโซนนี้ในมุมมองของการลงทุนระยะยาวถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ดี โดยมีแนวรับสำคัญที่ 28,400 ดอลลาร์ และแนวต้านที่ราคา 30,400 ดอลลาร์ เป็นกรอบราคาหลักในเดือนนี้
ส่วนราคาของ Ethereum หลังจากอัพเกรดระบบ Chapella ในช่วงสงกรานต์สำเร็จทำให้ราคาของ ETH พุ่งขึ้นไปแตะ 2,150 ดอลลาร์ อีกครั้งและปรับตัวลงหลังจากเกิดข่าวการเข้าตรวจสอบของ US Regulator ทำให้ราคาปัจจุบันอยู่ในโซนที่ 1,848 ดอลลาร์ ซึ่งหลังจากทำการเปิดให้ปลด Stake ETH สิ่งที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะมีคนถอน ETH ออกมาขายในจำนวนที่เยอะนั้นกลายเป็นว่าไม่เป็นตามนั้น เนื่องจากนักลงทุนยิ่งกลับเข้ามา Stake ETH มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งในเดือนนี้ให้จับตามองสถานการณ์ของ Node ของ ETH ให้ดีว่าจะมีการเพิ่มขึ้นลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญหรือไม่ โดยมีแนวรับสำคัญทางจิตวิทยาอยู่ที่ 1,800 ดอลลาร์ และแนวต้านที่ 1,950 ดอลลาร์ เป็นกรอบในเดือนนี้
ขณะที่ราคาในกลุ่มเหรียญ Liquid Staking ที่มีเทรนด์ของ LSD หรือ Liquid staking Derivative นั้นกำลังเริ่มการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น เนื่องจากมีนักลงทุนมากหน้าหลายตาเริ่มขยับเงินเข้ามาเปิด ETH Validator node กันมากขึ้น ทำให้แพลตฟอร์มที่รับ Stake ETH นั้นเริ่มต้องมีการทำการตลาดที่ดีขึ้นเพื่อดึงเม็ดเงินเข้ามาในแพลตฟอร์มตัวเอง ยกตัวอย่างแพลตฟอร์ม Rocket Pool ที่กำลังเริ่มดึงเม็ดเงินจาก แพลตฟอร์มเจ้าตลาดอย่าง LIDO ทีละนิดๆ ในเดือนนี้ให้จับตาการประกาศทิศทาง Proposal ของแต่ละแพลตฟอร์มให้ดี เพราะอาจจะมีผลต่อทิศทางราคาได้
ด้านนายมานะ คานิโยว Head of Commercial & Investment Consultant บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอดีตเราจะเห็นได้ว่ายิ่งช่วงใกล้ Havling มากขึ้นเท่าไหร่ราคาของ Bitcoin มักจะขยับตัวไปในทิศทางบวกเสมอ ราคา Bitcoin มักจะเป็นผลบวก 12 เดือนก่อนและหลัง Halving
ทั้งนี้ Halving ที่จะถึงในปี 2024 ช่วงเดือนเมษานี้อาจจะทำให้ Bitcoin ไม่ได้เพิ่มราคาขึ้นในอัตราที่สูงเหมือนในอดีตก็เป็นได้ เนื่องจาก กว่า 92% ของ Bitcoin supply ทั้งหมดได้ถูกขุดออกมาแล้ว แต่ยังไงก็ยังคงเป็น Catalyst ช่วยผลักดันราคาให้ขึ้นอยู่ดี
ส่วนเรื่องของ Macroeconomics นั้น FED กำลังขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปในช่วงพีคในเดือนพฤษภาคม 2023 นี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะคงที่ไประยะหนึ่งก่อนที่ FED จะทำการผ่อนคลายในเชิงนโยบายการเงิน สรุปมองว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าเก็บสะสม Bitcoin และรอให้ราคา Outperform