หุ้นไทยปิดตลาดปรับตัวลดลง -0.69 จุด โบรกฯ ชี้นักลงทุนชะลอเทรด เนื่องจากช่วงทำการซื้อขายตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้เปิดทำการเพียง 2 วัน อีกทั้งอยู่ในช่วงประเด็นร้อนได้แก่การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งส่งผลต่อทิศทางดัชนีอย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกที่จะชะลอการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ประเมินกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้แนวรับที่ 1,500 จุด และแนวต้านที่ 1,540 จุด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ปรับตัวลดลง -0.69 จุด หรือ -0.05% โดยปิดตลาดที่ 1,528.43 จุด มูลค่าการซื้อขาย 39,979.71 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการลงทุนในวันนี้ดัชนีปรับตัวเคลื่อนไหวในแดนบวกช่วงเปิดตลาดเช้าก่อนที่จะทยอยปรับตัวลดลงไปสู่แดนลบก่อนปิดการซื้อขายภาคกลางวัน และเคลื่อนไหวในแดนลบจนกระทั่งปิดตลาด โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,535.35 จุด ในทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,517.98 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 378 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 439 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 982 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า +1,486.64 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนในประเทศขายสุทธิกว่า -394.23 ล้านบาท บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -686.14 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -406.27 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,376.70 ล้านบาท ปิดที่ 127.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
2.DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,340.99 ล้านบาท ปิดที่ 76.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท
3.KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,275.34 ล้านบาท ปิดที่ 18.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท
4.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,136.02 ล้านบาท ปิดที่ 64.50 บาท ลดลง 0.25 บาท
5.PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,064.41 ล้านบาท ปิดที่ 31.00 บาท ราคาไม่เลี่ยนแปลง
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,065.32 จุด เพิ่มขึ้น 5.69 จุด หรือ 0.28% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 927.01 จุด เพิ่มขึ้น 4.29 จุด หรือ 0.46% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 494.06 จุด ลดลง -7.93 จุด หรือ -1.58%
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโสและนักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับลงต่อและอ่อนแอกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยจะเปิดทำการเพียง 2 วัน และในช่วงที่หยุดยาวจะมีประเด็นด้านเศรษฐกิจโลกที่สำคัญในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และ การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) เป็นต้น ซึ่งถือว่ามีความเปราะบางต่อตลาดและไม่มีความแน่นอนสูง ทำให้นักลงทุนเลือกขายลดความเสี่ยงออกมาก่อน
"ช่วงนี้ยังเข้าใกล้วันที่ 14 พ.ค. ซึ่งเป็นเลือกตั้งใหญ่ของไทยด้วย ทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนว่าพรรคการเมืองใดที่จะได้เป็นรัฐบาล โดยหากมีความชัดเจนมากขึ้นแล้วก็จะกลับมาเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป"
ขณะที่แนวโน้มวันพรุ่งนี้ ตลาดมีโอกาสซึมลงต่อเนื่อง จากการลดความเสี่ยงก่อนหยุดยาว โดยประเมินแนวรับที่ 1,500 จุด และแนวต้านที่ 1,540 จุด