เรียลแอสเสทฯ เปิดเกมรุกตลาดแนวราบ นำที่ดินในโซนกรุงเทพฯ ตะวันออกย่านถนนบางนา-สุวรรณภูมิ กว่า 180 ไร่ สร้างอาณาจักรโครงการแนวราบ คาดทั้งโครงการมูลค่าขายไม่ต่ำกว่า 4,900 ล้านบาท พัฒนาแล้ว 3 โครงการ มูลค่า 2,900 ล้านบาท ทั้งแบบบ้านเดี่ยวหรู บ้านแฝด และทาวน์โฮม เจาะกลุ่มกำลังซื้อระดับราคา 2-8 ล้านบาท เผยกลยุทธ์เจรจาผนึก Non-bank ช่วยลูกค้าเคลียร์หนี้ ยื่นกู้แบงก์ผ่าน หลังโควิดทำให้ลูกค้าเกิดปัญหาทางการเงิน
นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ REAL ASSET บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาแล้วมากกว่า 20 โครงการ เปิดเผยถึงแผนรุกตลาดที่อยู่อาศัยว่า ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า โครงการของบริษัทจะถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด "NEVERLAND" เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้ลูกบ้าน โดยในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้นำที่ดินในโซนกรุงเทพฯ ตะวันออกย่านถนนบางนา-สุวรรณภูมิ มาพัฒนาโครงการแนวราบต่อ คาดจะมีมูลค่ารวมทั้งหมดประมาณ 4,900 ล้านบาท ซึ่งที่ดินแปลงใหญ่ 180 ไร่ ที่ได้ลงทุนซื้อไว้เมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา เป็นแปลงที่ติดถนนใหญ่กิ่งแก้ว (กิ่งแก้ว ซ.29) ถือเป็นทำเลศักยภาพที่รองรับการใช้ชีวิตและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัย และบริษัทพร้อมที่จะนำที่ดินแปลงดังกล่าวออกมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพของทำเลที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นการวางยุทธศาสตร์สำคัญเชื่อมกับโซนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
ทั้งนี้ จะมีการแบ่งที่ดินพัฒนาออกเป็นเฟส ปัจจุบันได้มีการนำที่ดินประมาณ 80 ไร่ มาพัฒนาแนวราบไปแล้ว 3 โครงการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 2,900 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ วิรัณยา บางนา-สุวรรณภูมิ โครงการบ้านหรู ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 42 ไร่ จำนวน 207 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 6.09-8.49 ล้านบาท มีทั้งแบบบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ ตอบโจทย์กลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับสายการบิน ผู้บริหาร หรือแม้แต่ที่ทำงานที่เกี่ยวกับคลังสินค้า และแบบบ้านแฝด ที่เหมาะกับครอบครัวที่ยังไม่มีบุตร
โครงการ เซนส์ บางนา-สุวรรณภูมิ บนที่ดิน 23 ไร่กว่า จำนวน 160 ยูนิต รูปแบบทาวน์โฮม ราคา 4.69 ล้านบาท และบ้านแฝด ราคาเริ่ม 5.99 ล้านบาท และโครงการ สตอรี่ส์ บางนา-สุวรรณภูมิ ทาวน์โฮมหน้ากว้าง บนพื้นที่รวม 15 ไร่ จำนวน 187 ยูนิต ราคาขาย 2-4 ล้านบาท
"ต้องบอกว่าโครงการบางส่วนเปิดในช่วงโควิด ต้องชะลอโครงการไปเหมือนกับผู้ประกอบการรายอื่น แต่ตอนนี้โครงการแนวราบกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจน ทั้งเรื่องของการทำงานที่บ้าน และด้วยฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นชาวต่างชาติได้ให้ความสนใจกับโครงการแนวราบของบริษัท และชาวต่างชาติจะให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่ใกล้หรือเชื่อมต่อกับโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งเราตอบโจทย์ในส่วนนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังมีที่ดินเหลืออีก 100 ไร่ รองรับการพัฒนาโครงการต่อเนื่องได้อีกประมาณ 2-3 โครการ โดยกำลังศึกษาลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่น ลูกค้าต่างชาติที่อยากมีบ้านในประเทศไทย คาดว่าจะเริ่มพัฒนาได้ประมาณปี 2567"
นายณัฏฐพร กล่าวถึงสถานการณ์ในเรื่องของความสามารถของลูกค้าในการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยว่า เนื่องจากในช่วงที่เกิดโควิด-19 ลูกค้าหลายรายประสบปัญหาในเรื่องภาระหนี้สิน ทำให้เมื่อพิจารณาขอสินเชื่อจะไม่ผ่านเกณฑ์เครดิตสกอริ่งของธนาคาร ดังนั้น ทาง REAL ASSET กำลังเจรจากับพันธมิตรผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) เพื่อเข้ามาช่วยเหลือเรื่องเคลียร์หนี้ส่วนบางประเภท หรือการสร้างประวัติทางการเงินที่ดินขึ้น เช่น การแก้ไขเรื่องหนี้บัตรเครดิต โดยที่บริษัทอาจจะเข้าไปค้ำประกันให้ เมื่อผ่านระยะ 4-6 เดือนแล้ว ลูกค้ารายนี้มีฐานะการเงินที่ดีขึ้นก็สามารถยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารและโอนกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยได้ โดยในหลักเกณฑ์การดูแลเรื่องหนี้สินจะไม่เกิน 10% ของราคาบ้าน ทั้งนี้ ลูกค้ารายนั้นๆ อาจจะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าปกติในการชำระหลังจากโอนบ้านแล้ว
"วิธีการนี้จะทำให้เราไม่มีเรื่องต้นทุนค่าการตลาดมาก แทนที่จะเพิ่มเป้าต้องสร้างยอดขายจากเดิม 10 ราย เพิ่มเป็น 15 ราย แต่หากเรารอได้ แล้วลูกค้ามีความตั้งใจในการซื้อและโอน เราอาจจะไม่หาซัปพลายของลูกค้ามากเกินไป"
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี ภายใต้ชื่อโครงการ VIVALDI Bangna (วีวัลดี บางนา) บริเวณซอยวัดคลองปลัดเปรียง เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า Hi-End Segment ของโครงการแนวราบมากยิ่งขึ้น ราคาขายเริ่มต้นที่ 12-13 ล้านบาท เป็นต้น