เมตา ของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก จ่อปรับกลยุทธ์ธุรกิจปี 66 หลังแนวโน้มปรับลดจำนวนพนักงานรัดเข็มขัดควบคุมค่าใช้จ่ายไม่ช่วยเซฟฐานะการเงินของบริษัทเท่าไหร่นัก โดยนักวิเคราะห์การลงทุนประเมินว่าเมตาจะยังคงมีผลกำไรที่ลดลง อย่างไรก็ตามบริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ได้มีการวางแผลกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจใหม่ หลังจากที่ผ่านมา 2 ปี ไม่ประสบผลสำเร็จในการผลักดันการเข้าถึง metaverse ซึ่งเป็นไปได้น้อยกว่าที่คาดไว้ โดยเตรียมหันมาพัฒนา Ai ตามเทรนเทคโนโลยี ซึ่งเป็นแหล่งการเติบโตที่มีศักยภาพกว่า
จากการเปิดเผยของ decrypt กล่าวถึงนักวิเคราะห์ที่ติดตามผลประกอบการของบริษัทเมตาคาดว่าจะรายงานผลกำไร 5.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก ซึ่งลดลงประมาณ 30% เมื่อเทียบกับ 7.5 พันล้านดอลลาร์ที่บันทึกไว้ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่รายรับของบริษัทคาดว่าจะลดลงเช่นกัน แต่เพียง 1% เท่านั้น โดยลดลง 27.7 พันล้านดอลลาร์จาก 27.9 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดีในหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดูเหมือนว่าบริษัทจดทะเบียนอื่นเช่น Alphabet บริษัทแม่ของ Google, Microsoft และ Amazon จะมีผลประกอบการในลักษณะที่สอดคล้องกัน
ขณะที่ในช่วงปี 2565 บริษัทเมตาขาดทุนเกือบ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จากแผนก Metaverse โดยในปี 2566 นี้ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กได้กล่าวปลุกใจพนักงานของ Facebook ว่า “จะเป็นปีแห่งประสิทธิภาพ” เนื่องจากแนวโน้มเทมคโนโลยี Ai หรือปัญญาประดิษฐ์ กำลังกลายเป็นเทรนใหม่ที่ทุกอุตสาหกรรให้ความสนใจ แม้ว่าบริษัทเมตาในขณะนี้จะกำลังรัดเข็มขัดท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ท้าทายในสหรัฐอเมริกา โดยนักวิเคราะห์มองว่า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก จะพักการพัฒนาในส่วนงานของ Metaverse เอาไว้ก่อน แล้วโอนย้ายทีมงานบางส่วนมาเพื่อพัฒนาการใช้งาน เมตาเอไอ เพื่อให้ทันการแข่งขันกับคู่แข่งอื่นๆ
ขณะที่ในรายงานล่าสุดนักวิเคราะห์จาก Argus Research ระบุว่าบริษัทเผชิญกับแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของยอดดาวน์โหลด และจำนวนผู้ใช้ ตลอดจนถึงเวลาการใช้งานหน้าจอของแอปพลิเคชั่น TikTok ซึ่งกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญของเมตา แต่กระนั้นพวกเขากล่าวว่าการประกาศห้ามที่อาจเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาจากฝ่ายความมั่นคงของรัฐหรือเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องกับเงื่อนไขทางการเมืองอาจเป็นช่วงว่างที่สำคัญสำหรับเมตา นอกจากนี้ประเด็นด้านรายได้ที่มาจากโฆษณาที่ลดลงซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่จำเป็นสำหรับบริษัท โดยเลื่อนจาก 115 พันล้านดอลลาร์ในปี 2564 เป็น 114 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนภาพของเทรนการใช้งานโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนไป และความไม่พอใจในการละเมิดข้อมูลความเป็นส่วนตัวของ Facebook และ Instagram
"เราเชื่อว่าความท้าทายที่ TikTok กำลังได้รับความนิยมกว่า Facebook และ Instagram จะเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลมีเดียของเมตา ซึ่งยังคงเพิ่มผู้ใช้ไปยังแพลตฟอร์มของตน” ทั้งนี้จากรายงานระบุว่า “TikTok กำลังเผชิญปัญหากับการแบนที่ร้อนแรงมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา หรือกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีที่สำคัญของของรัฐบาลสหรัฐฯ” นักวิเคราะห์กล่าว
อย่างไรก็ตามแม้ว่าบริษัทจะเผชิญกับอุปสรรค แต่ก็ยังมีฐานผู้ใช้ที่มีส่วนร่วมจำนวนมากอยู่แล้ว สำหรับ Facebook เพียงอย่างเดียว โดยบริษัทได้รายงานผู้ใช้ที่ยังคงใช้งานอยู่ในปัจจุบันจำนวน 2.96 พันล้านบัญชีต่อเดือน ซึ่งในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว มีจำนวนบัญชีใหม่เพิ่มขึ้น 2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ขณะที่ความผิดพลาดของบริษัทเมตาในการพยายามผลักดันภาพลักษณ์มุ่งเน้นไปที่ metaverse นับตั้งแต่บริษัทรีแบรนด์ในปี 2564 แต่เซกเมนต์ Reality Labs ของเมตาสร้างรายได้เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับตระกูลแอปโซเชียลมีเดียอื่นๆไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Messenger, WhatsApp และอื่นๆ บริการ.
นอกจากนี้ในขณะที่บริษัทเมตาทำการปลดพนักงานในส่วนงานการพัฒนาสินทรัพย์ดิจิทัลในปีที่แล้ว ซึ่งการลดจำนวนพนักงาน กำลังกลายเป็นความวิกฤติในระบบอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้เป็นที่นิยมในหมู่บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่โดยรวมไปถึง Twitter ของอีลอน มัสก์ และ เอมาซอน ของ เจฟ เบโซส
ทั้งนี้หลังจากบริษัทเมตาปรับลดพนักงานลง 11,000 คน เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ประกาศว่าบริษัทจะลดพนักงานเพิ่มอีก 10,000 คนในเดือนมีนาคม 2566 โดยการปรับลดพนักงานเป็นหนึ่งในนโยบาย “ยกเลิกโครงการที่มีลำดับความสำคัญต่ำกว่า” และทำให้โครงสร้างการจัดการกระชับมากขึ้น โดยมีเป้าหมายในการลดพนักงานไม่น้อยกว่า 22000 คน
“เมื่อมองย้อนกลับไป ผมได้ประเมินต้นทุนทางอ้อมของโครงการ ที่มีลำดับความสำคัญต่ำกว่า หรือไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน” ซัคเคอร์เบิร์กกล่าว
ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทได้ยกเลิกแผนการที่จะสนับสนุน NFT บน Instagram โดยเรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทเกิดขึ้นหนึ่งปีหลังจากที่บริษัทมีแผนการส่งเสริมการใช้งาน Metaverse ให้แพร่หลาย แต่ผลตอบรับกลับตรงกันข้าม จนมีการล้อเลียนว่า NFT กำลังเข้าสู่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งได้มีการทดลองใน Instagram ระยะสั้นๆก่อนที่สุดท้ายจะถูกประกาศยกเลิกไป
ในขณะเดียวกัน บริษัทได้เปิดตัวชุดเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับ Ai ต่อจาก Big Tech หลังจากที่ ChatGPT ของ OpenAI ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยมีข้อเสนอของ เมตารวมถึง “Segment Anything” ซึ่งเป็นเครื่องมือระบุรูปภาพของ Ai และเครื่องมือโฆษณาที่ใช้ประโยชน์จาก Ai เชิงสร้างสรรค์
โดยการพัฒนาเทคโนโลยี Ai และการรวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ของเมตาได้กลายเป็นพื้นที่การลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท โดย มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าวหลังจากที่เขาได้เผยถึงการปลดพนักงานรอบล่าสุดของบริษัท ถึงกระนั้น เขาก็ส่งสัญญาณว่า นั่นไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะถอนตัวออกจากความทะเยอทะยานของเมตาเวิร์ส ซึ่งเพียงแค่ชะลอออกไปก่อน และจะกลับมาเร่งพัฒนาในเร็วๆ นี้
“ผลงานชั้นนำของเราในการสร้าง เมตาเวิร์ส และสร้างแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์รุ่นต่อไปยังคงเป็นศูนย์กลางในการกำหนดอนาคตของการเชื่อมต่อทางสังคม” เขากล่าว
ขณะที่สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เมตาบริษัทแม่ของ Facebook, WhatsApp และ Instagram รายงานยอดขายที่กลับมาเติบโตเป็นครั้งแรกในรอบเกือบปี โดยหุ้น เมตาเพิ่มขึ้น 12% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ เพิ่มมูลค่าตลาดมากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์
มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าวว่าการชะลองโครงการเมตาเวิร์สและหันมาเน้นการพัฒนาและให้ความสำคัญกับ Ai นั้น จะช่วยให้บริษัทเพิ่มปริมาณการเข้าถึงฐานข้อมูลการใช้งานของลูกค้าโซเชียลมีเดีย การเยี่ยมชมเว็บไซต์และรายได้จากการขายโฆษณามากขึ้น
ขณะที่ตอนนี้มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ได้วางแผนที่จะเพิ่มกลยุทธ์ดังกล่าวเป็น 2 เท่า โดยบอกในการประชุมทางโทรศัพท์ว่า "ตอนนี้เรามีความสามารถในการทำงานระดับแนวหน้าในพื้นที่นี้"
นอกจากนี้เขายังย้ำถึงความมุ่งมั่นในการลงทุนในหน่วย Reality Labs ที่เน้นเมตาเวิร์สซึ่งสูญเสียไป 13.7 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
ทั้งนี้ Facebook โซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ต้องเผชิญกับปัญหารายได้ที่ลดลงอย่างหนัก หลังเทรนการใช้งานโซเชียลมีเดียเปลี่ยนไป โดยในปี 2565 หลังเกิดการระบาดของเชื้อโควิด 19 กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กหรืออีคอมเมิร์ซ หันมาใช้การสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าผ่านทางแพล็ตฟอร์มวิดีโอสั้น ซึ่งคู่แข่งอย่าง TikTok ที่กลายเป็นสื่อโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเน้นจับกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้ที่อายุน้อย ขณะที่การอัปเดตความเป็นส่วนตัวของ Apple ที่ตัดการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ซึ่งเป็นช่องทางเชื่อมโยงฐานข้อมูลให้กับผู้ที่สร้างธุรกิจโฆษณาได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ทำให้รายได้ของ Facebook กระทบอย่างมาก