รับกระแสค่าไฟแพงหูฉี่ หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ากำลังถูกจับตาจากนักลงทุนอย่างมาก คาดว่าในไตรมาส 1/2566 กำไรหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าจะเติบโตได้เล็กน้อย โดยมีปัจจัยหนุนในระยะสั้นจากการขึ้นค่าไฟ และต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวลดลง โดยเปรียบเทียบ10หุ้นโรงไฟฟ้าใหญ่ ถ้าคุณซื้อเมื่อ1ปีก่อน ตัวไหนพาติดดอยมากสุด(เรียงจากผลตอบแทนราคาติดลบมากสุด)
1.บมจ.กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ซื้อเมื่อ 1 ปีก่อนเทียบกับวันที่ 21 เม.ย.66 ผลตอบแทนราคา -32.10% และถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี -23.05% ,ราคา ล่าสุด ณ 21 เม.ย. 66 อยู่ที่ 4.04 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 6.20/3.60 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 2.97%, ค่า P/E 11.92 เท่า , Market Cap 35,885.43 ล้านบาท,ปี 64 กำไรสุทธิ 2,229.27 ล้านบาท ส่วนปี 65 กำไรสุทธิ 3,010.52 ล้านบาท เพิ่มชึ้น 781.25 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ทิศทางกำไรปกติในไตรมาส 1/66 จะปรับตัวลดลงจากไตรมาส 4/65 จากแรงกดดันธุรกิจไฟฟ้าที่คาดจะเริ่มผ่านพ้นจุดสูงสุดของปีในไตรมาส 4/65 มาแล้ว ขณะที่ธุรกิจอื่นๆ คาดยังมีรายได้ทรงตัวใกล้เคียงในระดับเดิม อย่างไรก็ตาม คาดจะมีแรงหนุนชดเชยได้เล็กน้อยจากค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดจะปรับตัวลดลงสู่ระดับปกติ ยังคงคำแนะนำ switch เพราะมองว่ายังไม่ใช่จังหวะเข้าลงทุนยามนี้
2.บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ซื้อเมื่อ 1 ปีก่อนเทียบกับวันที่ 21เม.ย.66 ผลตอบแทนราคา -21.76% และถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี -26.80% ,ราคา ล่าสุด ณ 21 เม.ย. 66 อยู่ที่ 71.00 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 99.75/70.00 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 0.42%, ค่าP/E 34.83 เท่า , Market Cap 264,830.00 ล้านบาท,ปี 64 กำไรสุทธิ 6,100.07ล้านบาท ส่วนปี 65 กำไรสุทธิ 7,604.29 ล้านบาท เพิ่มชึ้น 1,504.22 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ทิศทางกำไรปกติในช่วงไตรมาส 1/66 คาดจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยกดดันหลักมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าซึ่งยังเป็นสัดส่วนธุรกิจหลักของ EA ที่คาดปริมาณขายไฟฟ้าจะปรับตัวลดลงตามกระแสลมที่อ่อนตัวเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/65 ตามช่วงฤดูกาล ในขณะที่ธุรกิจไบโอดีเซลคาดทั้งปริมาณและราคาขายยังทรงตัวอยู่ใกล้เคียงอยู่ในระดับเดิม
3.บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP) ซื้อเมื่อ 1 ปีก่อนเทียบกับวันที่ 21เม.ย.66 ผลตอบแทนราคา -21.58% และถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี -13.16% ,ราคา ล่าสุด ณ 21 เม.ย. 66 อยู่ที่ 3.96 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 5.90/3.78 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 2.15%, ค่าP/E 13.21 เท่า , Market Cap 32,192.36 ล้านบาท,ปี 64 กำไรสุทธิ 2,179.01 ล้านบาท ส่วนปี65 กำไรสุทธิ 2,436.18 ล้านบาท เพิ่มชึ้น 257.17 ล้านบาท
บล.หยวนต้าคาดกำไรปกติ Q1/66 จะยังสามารถเติบโตได้จากฐานที่ต่ำในปีก่อนเนื่องจาก 1) ปริมาณการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำไซยะบุรีสูงขึ้น YoY และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ BIC ที่ฟื้นตัว YoY จากฐานที่ต่ำหลังได้รับอานิสงส์จากการปรับค่า Ft รอบ ม.ค. - เม.ย. 2566 ของ กกพ. (สามารถชดเชยผลกระทบจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่สูงขึ้น YoY ได้)
4.บมจ.บีซีพีจี (BCPG) ซื้อเมื่อ 1 ปีก่อนเทียบกับวันที่ 21 เม.ย.66 ผลตอบแทนราคา -14.17% และถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี +0.98%, ราคา ล่าสุด ณ 21 เม.ย. 66 อยู่ที่ 10.30 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 12.60/8.70 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 3.49%, ค่าP/E 11.39 เท่า , Market Cap 29,949.72 ล้านบาท,ปี 64 กำไรสุทธิ 2,010.82 ล้านบาท ส่วนปี 65 กำไรสุทธิ 2,630.06 ล้านบาท เพิ่มชึ้น 619.24 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 1/66 จะยังคงไม่เด่นไปอีกไตรมาส มีโอกาสลดลงทั้งจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ลาวมีการปิดเพื่อเตรียมขายไฟฟ้าไปเวียดนามเกือบทั้งไตรมาส
5.บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) ซื้อเมื่อ 1 ปีก่อนเทียบกับวันที่ 21 เม.ย.66 ผลตอบแทนราคา -13.50% และถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี -14.02%,ราคา ล่าสุด ณ 21 เม.ย. 66 อยู่ที่ 14.10บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 17.50/13.90บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 4.96%, ค่าP/E 7.49 เท่า , Market Cap 42,973.02 ล้านบาท,ปี 64 กำไรสุทธิ 3,127.03 ล้านบาท ส่วนปี 65 กำไรสุทธิ 5,738.68 ล้านบาท เพิ่มชึ้น 2,611.65 ล้านบาท
บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 66 ทำสถิติสูงสุดใหม่ (New-High) จากปี 65 อยู่ที่ 24,501 ล้านบาท เป็นไปตามกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เข้ามาเพิ่มขึ้น จากการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงไฟฟ้าในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็อยู่ระหว่างการเจรจาทำดีล ดิลิเจนท์ (Due Diligence) มากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ และคาดว่าในปีนี้จะสามารถปิดดีล และมีกำลังการผลิตเข้ามาเพิ่มอีก 1,000 เมกะวัตต์ได้
6.บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) ซื้อเมื่อ 1 ปีก่อนเทียบกับวันที่ 21 เม.ย.66 ผลตอบแทนราคา -9.35% และถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี -9.94% ,ราคา ล่าสุด ณ 21 เม.ย. 66 อยู่ที่ 38.50 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 44.75/35.75 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 4.16%, ค่าP/E 14.48 เท่า , Market Cap 83,737.50 ล้านบาท,ปี 64 กำไรสุทธิ 7,772.02 ล้านบาท ส่วนปี65 กำไรสุทธิ 5,782.07 ล้านบาท ลดลง 1989.95 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า ระบุว่า กำไรปกติไตรมาส 1/66 มีแนวโน้มฟื้นตัวทั้งจากไตรมาสเดียวกันปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้าได้เพราะ ไม่มีการปิดซ่อมบำรุงบางส่วนของโรงไฟฟ้าหงสาที่เป็นแหล่งกำไรหลัก และการเริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนใน NEJV แบบเต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก
7.บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ซื้อเมื่อ 1 ปีก่อนเทียบกับวันที่ 21 เม.ย.66 ผลตอบแทนราคา -8.57% และถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี -12.33% ,ราคา ล่าสุด ณ 21 เม.ย. 66 อยู่ที่ 64.00 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 75.50/57.25 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 0.78%, ค่าP/E 202.44 เท่า , Market Cap 180,462.68 ล้านบาท,ปี 64 กำไรสุทธิ 7,318.58 ล้านบาท ส่วนปี 65 กำไรสุทธิ 891.45 ล้านบาท ลดลง 6,427.13 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า คาดกำไรปกติไตรมาส 1/66 จะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า จาก margin กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่คาดจะปรับตัวดีขึ้น จากการรับรู้การปรับขึ้นค่า Ft ในเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 และราคาเชื้อเพลิงทั้งก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่มีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง รวมถึงปริมาณขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมของที่คาดจะกลับมาฟื้นตัว หลังจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานของกลุ่มลูกค้าแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4/65
8.บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) ซื้อเมื่อ 1 ปีก่อนเทียบกับวันที่ 21 เม.ย.66 ผลตอบแทนราคา -7.06% และถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี -8.41%,ราคา ล่าสุด ณ 21 เม.ย. 66 อยู่ที่158.00 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ190.00/150.50 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 4.11%, ค่าP/E 31.00 เท่า , Market Cap 83,181.47ล้านบาท,ปี 64 กำไรสุทธิ 4,103.84 ล้านบาท ส่วนปี65 กำไรสุทธิ 2,683.10 ล้านบาท ลดลง 1,420.74 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี ฯ คาดกำไรไตรมาส 1/66 จะฟื้นจากไตรมาส 4/65 เพราะโรง KEGCO ไม่มีปิดซ่อม และเข้าสู่ high season ของโรง Paju แต่จะลดลงจากไตรมาส 1/65 (ฐานสูง) เพราะกำไรของโรง Paju ที่ลดลงจากค่าไฟที่ไม่สูงเท่าไตรมาส 1/65
9.บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) ซื้อเมื่อ 1 ปีก่อนเทียบกับวันที่ 21 เม.ย.66 ผลตอบแทนราคา +3.02% ,ราคา ล่าสุด ณ 21 เม.ย. 66 อยู่ที่ 51.25บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ52สัปดาห์ คือ 57.25/45.00บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 1.17%, ค่า P/E 52.67 เท่า , Market Cap 601,323.94 ล้านบาท,ปี 64 กำไรสุทธิ7,670.30 ล้านบาท ส่วนปี 65 กำไรสุทธิ 11,417.56 ล้านบาท เพิ่มชึ้น 3,747.26 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ทิศทางกำไรไตรมาส 1/66 คาดยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงจากไตรมาส 4/65 แรงหนุนจากการรับรู้โครงการ Jackson ประเทศสหรัฐอเมริกา 588 MWe ที่คาดจะดำเนินการซื้อกิจการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/66 รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่คาดจะฟื้นตัวจากทิศทางราคาก๊าซฯ ที่ลดลงและการรับรู้การปรับขึ้นค่า Ft ในเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566
10.บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) ซื้อเมื่อ 1 ปีก่อนเทียบกับวันที่ 21 เม.ย.66 ผลตอบแทนราคา +13.43% และถ้าเทียบตั้งแต่ต้นปี -4.40% ,ราคา ล่าสุด ณ 21 เม.ย. 66 อยู่ที่ 38.00 บาท,ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ42.75/29.75 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 0.17%, ค่าP/E N/A เท่า , Market Cap 99,062.20 ล้านบาท,ปี 64 กำไรสุทธิ 2,275.70 ล้านบาท ส่วนปี 65 ขาดทุนสุทธิ -1,244.08 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ทิศทางกำไปปกติในไตรมาส 1/66 คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/65 โดยปัจจัยหนุนหลักมาจากการรับรู้การประกาศปรับขึ้นค่า Ft อีก 61.5 สตางค์ต่อหน่วยมาอยู่ที่ 1.55 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้ GPM โดยรวมคาดจะปรับตัวดีขึ้น รวมถึงปริมาณขายไฟฟ้าที่คาดจะฟื้นตัว นอกจากนี้คาดค่าใช้จ่าย SG&A จะปรับตัวลดลงสู่ระดับปกติ
น่าสังเกตุว่า 10 หุ้นโรงไฟฟ้าใหญ่ เมื่อเทียบราคา1ปี พบว่ามีเพียง GULF และ BGRIM ที่ยังแข็งแกร่ง มีผลตอบแทนราคาที่เป็นบวก ส่วนอีก 8 หลักทรัพย์ล้วนติดลบทั้งสิ้น