xs
xsm
sm
md
lg

สแตนชาร์ดมอง ศก.ครึ่งปีหลังโตดี ท่องเที่ยว-การเมืองหนุน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดมองเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีในครึ่งปีหลัง โดยมีปัจจัยหนุนจากรัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ชัดเจนขึ้น ขณะที่ครึ่งปีแรกยังคงมีปัจจัยความไม่แน่นอนจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดีในครึ่งปีหลังโดยมีปัจจัยหนุนจากบรรยากาศการเมืองที่จะมีการเลือกตั้งในเดือนหน้าและมีรัฐบาลใหม่ในระยะถัดไป รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่ชัดเจนขึ้น ขณะที่ในไตรมาสที่ 2 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจโลก โดยในเดือนเมษายนนี้ ธนาคารได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 มาที่ 4.3% จากเดิมที่ 4.5% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ที่ 2.1% จากเดิมที่ 2.7% อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 1.7% จากเดิมที่ 3.3% ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดจะอยู่ที่ 3.6% จากเดิมที่ 4.0%

โดยธนาคารสรุปประเด็นสำคัญที่จะต้องติดตามใน 5 ข้อดังนี้ หนึ่ง เศรษฐกิจโลกจะยังมีความผันผวนต่อเนื่องอย่างน้อยอีก 6 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะประเด็นนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ใกล้จะถึงจุดสูงสุด แต่ยังไม่ถึง ยังมีความไม่แน่นอนทำให้เกิดความผันผวน ซึ่งธนาคารคาดการณ์เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าในเดือนพฤษภาคมอีก 0.25% เป็น 5.25% หลังจากนั้น จะปรับลดลง 1 ครั้งที่ 0.25% กลับมาสู่ระดับ 5.00% ในช่วงปลายปี และในปีหน้าปรับลดอีก 3 ครั้งๆ ละ 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 4.25%

สอง ประเด็นการเมือง โดยธนาคารมองว่าหลังจากผ่านการเลือกตั้งไปแล้ว มี 3 คำถามที่ต้องติดตามดู และน่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนจะได้รับคำตอบ 1.รัฐบาลชุดใหม่มีเสียงข้างมากขนาดไหน มาก หรือปริ่มน้ำ 2.พรรคที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลสอดคล้องกับป็อปปูลาร์โหวตหรือไม่ และ 3.นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคดังกล่าวหรือไม่ ทั้งนี้ 3 คำตอบดังกล่าวจะบ่งบอกถึงทิศทางการเมืองต่อไป อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาส 2 น่าจะมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองเพิ่มขึ้น ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี เราคาดว่ารัฐบาลใหม่จะใช้เวลาอย่างน้อย 2 เดือนในการตั้งรัฐบาลและเลือกนายกรัฐมนตรี โดยคณะรัฐบาลน่าจะพร้อมทำงานอย่างเร็วที่สุดในเดือนกรกฎาคม

"หลังมีรัฐบาลใหม่และพร้อมที่จะมีมาตรการการต่างๆ ออกมากระตุ้นการบริโภคได้ในช่วงปลายปี ทำให้การบริโภค และท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปลายปีนี้ ขณะที่นโยบายของหลายพรรคการเมืองที่มีนโยบายประชานิยมในการแจกเงินนั้น มองว่านโยบายแจกเงินสอดคล้องกับโมเมนตัมของเศรษฐกิจในช่วงปลายปีที่พึ่งพาการบริโภคและการท่องเที่ยว นอกจากนี้ กว่าจะใช้เริ่มใช้นโยบายได้จริงยังต้องหลังเลือกตั้งอีกระยะหนึ่งซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์และตอบโจทย์ของประชาชนได้มากขึ้น"

สาม ประเด็นจีดีพีและอัตราเงินเฟ้อ โดยมองในอีกใน 2-3 เดือนขางหน้าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ดีกว่าในครึ่งปีแรกรับแรงส่งจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามามากขึ้นและรัฐบาลที่เข้ามาซึ่งไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนน่าเข้ามาผลักดันใน 2 เรื่องคือหนุนการบริโภค และการท่องเที่ยว โดยคาดการณ์จีดีพีในครึ่งปีแรกที่ 2.9% และครึ่งปีหลังที่ 5.7% มีจำนวนนักท่องเที่ยว 25 ล้านคน จากคาดการณ์เดิมที่ 15-20 ล้านคน ส่วนการส่งออกยังคงหดตัวแต่ในอัตราที่น้อยลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ไตรมาสแรกที่ 4% ไตรมาส 2 ที่ 1.7% ไตรมาส 3 ที่ 1.2% และไตรมาส 4 ที่ 1.6% เฉลี่ยทั้งปีที่ 2.1% โดยอัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 4 ที่สูงขึ้นมาจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว

สี่ ประเดินอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.75%ซึ่งเป็นระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด ธนาคารมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนหน้าในอัตรา 0.25% สู่ระดับ 2.00% และหลังจากนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าจะทรงหรือเพิ่มขึ้น

"การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้าจะนำไปสู่ระดับ 2% แต่เรามองว่าแบงก์ชาติอาจจะมองระดับที่สูงกว่านี้หรือไม่ ด้วย 3 ปัจจัย ได้แก่ เศรษฐกิจช่วงปลายปีที่เติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก รวมถึงเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้นช่วงไตรมาส 4 และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ยังติดลบอยู่"

และห้า ค่าเงินบาท ธนาคารประเมินค่าเงินบาทจะยังผันผวนต่อเนื่องไปอีก 3-6 เดือน จากช่วงที่ผ่านมาถือว่าเงินบาทค่อนข้างผันผวนมากพอสมควร จากปลายปี 65 อยู่ที่ 38.00 บาท เดือนมกราคมปีนี้อยู่ที่ 32.50 บาท เดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 35.50 บาท โดยคาดการณ์ค่าบาท ณ กลางปีนี้ที่ระด้บ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และปลายปีที่ 34.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ธนาคารคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปี
กำลังโหลดความคิดเห็น