หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวหรือ Tourism รับผลดีจากจำนวนนักท่องเที่ยวพุ่ง ตามการคาดการณ์ของ ททท. อีกทั้งการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยแถมมี โครงการ “เราเที่ยวด้วยกันฯ” ขณะต่างชาติเดินทางเข้ามารวมถึงจีนเปิดประเทศเป็นแรงหนุน ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวคึก คาดช่วง ไตรมาส 2 ถึง 4 ปีนี้มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นชัดเจน โบรกฯ ส่วนใหญ่ให้คำแนะนำ "Neutral" หุ้นกลุ่มนี้ พร้อมมอง ERW - CENTEL และ MINT ดีสุด ส่วนสายการบินได้อานิสงส์ตาม
คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบหลักการให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ 40 บาทต่อห้องพัก เป็นเวลา 2 ปีตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565-30 มิถุนายน 2567 เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมีความต่อเนื่อง ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าการที่รัฐบาลมีมาตรการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมถือเป็นเรื่องดี แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการยังคงมีต้นทุนการดำเนินงานที่เร่งตัวขึ้น จากราคาพลังงานที่ทรงตัวระดับสูงต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงต่ออัตราค่าไฟฟ้า, วัตถุดิบอาหาร, ค่าขนส่ง ฯลฯ และอยากให้พิจารณามาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว และการจับจ่าย ใช้สอยภาคครัวเรือน รวมถึงมาตรการดึงดูดให้ นักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในช่วง “ไฮซีซัน” ให้ได้มากที่สุด
หุ้นโรงแรมหลายแห่งที่โบรกเกอร์มองว่าการเปิดเมืองและผ่อนมาตรการที่เข้มงวดจากก่อนหน้า และเริ่มชัดเจนตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเรื่อยมาจนถึงปี 66 ที่พบว่านักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเที่ยวในประเทศคึก ขณะการจัดกิจกรรมนอกบ้านมากมายหลากหลายเริ่มฟื้นคืน ส่งผลให้วิถีชีวิตคึกคักขึ้นมาเรียกได้ว่าเกือบเท่ากับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 ซึ่งหมายถึงจะทำให้ผลประกอบการในหลายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพราะในประเทศมีกิจกรรมต่าง ๆ นอกบ้านมากขึ้น แม้จะยังไม่กลับสู่ปกติ แต่ถือว่าดีขึ้นมากจากปีก่อนๆ แถมยังทำให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น และนั่นก็จะทำให้ผลประกอบการฟื้นตัวจากที่เคยตกต่ำและส่วนใหญ่ขาดทุนแทบทั้งสิ้น ซึ่งโรงแรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและอีกหลายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจะได้รับผลดี โบรกเกอร์หลายสำนัก มองโรงแรมที่จะได้รับผลดี อย่าง ERW หรือ บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), CENTEL หรือ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน), MINT หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน), SHR หรือ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) และจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งหุ้นสายการบิน
บล.ดาโอ ประเมินหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว หรือ Tourism พร้อมให้คำแนะนำ "Neutral" หลังจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานว่าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-18 มี.ค.2566 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศแล้ว 5,578,721 คน สร้างรายได้เข้าประเทศ 215,052 ล้านบาท โดยภาพรวมสถานการณ์ท่องเที่ยวยังคงปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทย และการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของต่างชาติ
ดังนั้น บล.ดาโอ มองเป็นบวกต่อกลุ่มท่องเที่ยว เพราะมีมุมมองเป็นบวกต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดีตามคาด โดย บล.ดาโอ คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวในเดือน มี.ค. 2566 จะอยู่ที่ราว 2.2-2.3 ล้านคน ซึ่งยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากเดือน ม.ค.2566ที่ 2.1 ล้านคน ขณะคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 2566E จะอยู่ที่ 25 ล้านคน (เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ 11.2 ล้านคน) ซึ่งถือว่ามีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้มากกว่าที่ บล.ดาโอ คาดเล็กน้อยมาอยู่ที่ 26-27 ล้านคน นอกจากนี้ บล.ดาโอ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะช่วยเข้ามาช่วยหนุนในช่วง Low season ช่วง ไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ปีนี้ได้ ซึ่งหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากมาก-น้อยเรียงตามสัดส่วนรายได้ในประเทศไทยจากมาก-น้อยคือ ERW (88%), CENTEL (80%),MINT (15%) และ SHR (5%)
ทั้งนี้ บล.ดาโอ ยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็น “เท่ากับตลาด” ชอบ CENTEL, ERW, AOT, AAV, BAFS และCENTEL (ซื้อ /เป้า 60.00 บาท) เพราะได้ประโยชน์ทั้งจากธุรกิจโรงแรมที่เข้าสู่ High season ของไทยและมัลดีฟส์ใน ไตรมาสแรกปีนี้ ประกอบกับธุรกิจอาหารมีการเติบโตได้ได้ดีตามการฟื้นตัวของการ บริโภค ERW (ซื้อ/เป้า 6.00 บาท) เพราะเป็น Pure hotel ซึ่ง ERW จะได้รับผลประโยชน์สูงที่สุดเพราะมีสัดส่วนโรงแรมในประเทศไทยสูงที่สุดในกลุ่มที่ 88% และมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนสูงที่สุดในกลุ่มราว 15% AOT (ซื้อ /เป้า 84.00 บา) ได้ประโยชน์จากจำนวนผู้โดยสารที่ปรับตัวดีขึ้น และแนวโน้มปี 2566E จะดีขึ้นทุกไตรมาสจากการเปิดเที่ยวบินเพิ่ม AAV (ซื้อ /เป้า 3.70 บาท) ได้ประโยชน์จากจำนวนผู้โดยสารที่ปรับตัวดีขึ้น และแนวโน้มปี 2566Eจะดีขึ้นทุกไตรมาสจากการเปิดเที่ยวบินเพิ่ม นอกเหนือจากกลุ่ม Tourism บล.ดาโอ มองว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็นบวกต่อ BAFT (ซื้อ /เป้า 35.00 บาท) เพราะได้อานิสงส์จากจำนวนเที่ยวบินและปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานที่เพิ่มขึ้น
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) หรือ บล.หยวนต้าฯ ประเมินหุ้นกลุ่ม TOURISM พร้อมให้คำแนะนำ "Neutral" เพราะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท.ระบุว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1 ม.ค. – 18 มี.ค.2566 อยู่ที่ 5.58 ล้านคน ทำให้คาดเดือน มี.ค.2566 ตัวเลขนักท่องเที่ยวอาจสูงถึง 2.3-2.5 ล้านคนต่อเดือน ดีขึ้นจากม.ค. - ก.พ.2566 ที่ราว 2.1 - 2.2 ล้านคนต่อเดือน
ดังนั้น จะส่งผลให้แนวโน้มผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2566 คาดฟื้นตัวเด่นเมื่อเทียบปีก่อนจากฐานต่ำ ซึ่งผู้เล่นที่พึ่งพารายได้ในไทยอาจเติบโตได้เมื่อเทียบไตรมาส แต่รายที่มีรายได้ในยุโรปสูงจะถูกกดดันจากช่วง Low Season ขณะที่ประมาณการปัจจุบันของ บล.หยวนต้าฯ คาดผู้ประกอบการกลุ่มท่องเที่ยวใน Coverage จะกลับไปรายงานกำไรปกติได้ราว 80% - 100% เทียบกับกำไรปกติปี 2562 (หรือก่อนโควิด-19)
กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นไปที่การขายทำกำไรเมื่อหุ้นปรับขึ้นสูงเพราะผลการเปิดประเทศ และเลือกลงทุนในหุ้นที่ยัง Laggard กลุ่มเพราะช่วงก่อนหน้ามีปัจจัยกดดันเฉพาะตัวเช่นเดิม และ บล.หยวนต้าฯ คงน้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” แม้ปรับเพิ่มประมาณการและราคาเหมาะสมของหุ้นรายตัวเพราะผลประกอบการที่ดีกว่าคาด แต่ยังไม่มากพอที่จะเปลี่ยนภาพรวมของกลุ่มที่มี Upside จำกัด ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นไปที่การลงทุนหุ้นที่ Valuation ยัง Laggard กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ บล.หยวนต้าฯ เลือก MINT (TP@43.50) ขณะที่หุ้นขนาดเล็กเลือก VRANDA (TP@8.80) เป็นตัวแทนกลุ่ม
บล.ฟิลลิป มองกลุ่มท่องเที่ยวหรือ TOURISM ให้น้ำหนัก "ลงทุนเท่ากับตลาด" หลังจากที่ ต่างชาติเข้าไทย 1 ม.ค. -18 มี.ค. 2566 ทะลุ 5 ล้านคน ซึ่งกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทย 1 ม.ค. - 18 มี.ค. 2566 แล้ว 5.ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2.15 แสนล้านบาททั้งนี้สถานการณ์ยังคงดีขึ้นต่อเนื่องทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น ใกล้เคียงกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท.ที่คาดทั้งปีอยู่ที่ 25 ล้านคน คิดเป็น 63% ของช่วงก่อนโควิด-19 อย่างไรก็ตามอาจมีแนวโน้มทะลุเป้าจากไตรมาสแรกปี 2566 ยังเป็นช่วงนักท่องเที่ยวจีนทยอยเข้ามา ซึ่งน่าจะมากขึ้นอย่างมีนัยตั้งแต่ เม.ย.2566 เป็นต้นไป สอดคล้องกับเที่ยวบินจีนไปยังต่างประเทศที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ทำให้คาดนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยช่วง ไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 4 ปี 2566 มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นชัดเจน
ดังนั้น แนะนำ “ลงทุนเท่ากับตลาด” CENTEL เป็น Toppick เพราะสร้าง Sentiment บวกต่อกลุ่มโรงแรม โดยทางฝ่ายเลือก “CENTEL” เป็น Top pick ของกลุ่ม และเป็นบวกกับหุ้นท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับอย่างสายการบิน,กลุ่มค้าปลีก หนุนผลประกอบการฟื้นตัวมากขึ้น ทางฝ่ายชอบ AOT, AAV, CPALL, CRC, ILM
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หรือ MST มองหุ้นกลุ่ม Thailand Tourism พร้อมให้คำแนะนำ "NEGATIVE" หลังจีนเปิดประเทศ ปัจจัยหนุนระยะสั้นคงมุมมอง “ลบ” อัพเกรด AOT เป็น “ซื้อ ” อัพ TP เป็น 84 บาทหลังจีนเปิดประเทศ บล.เมย์แบงก์ฯ ปรับเพิ่มประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวในปี 66 เป็น 27 ล้านคน (จาก 22 ล้าน) รวม นักท่องเที่ยวจีน 5 ล้านคน คงประมาณการจำนวน นักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวเต็มที่ในปี 67 ที่ 40 ล้านคน พร้อมเพิ่มคาดการณ์กำไรของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวที่วิเคราะห์ขึ้น 16-138% สำหรับปี 66 ขณะปี 67 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง พร้อมเพิ่ม TP อีก 2.5-17.1% บล.เมย์แบงก์ฯ เชื่อว่า AOT น่าจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการท่องเที่ยวไทยที่เปิดเต็มที่ เนื่องจากรายได้ทั้งหมดอยู่ในประเทศไทย สำหรับผู้ประกอบการโรงแรม เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนมีสัดส่วนเพียง 12-17% ของรายได้โรงแรมในประเทศไทย ประเมินผลกระทบค่อนข้างน้อย
บล.เมย์แบงก์ฯ เพิ่มคำแนะนำ AOT เป็น “ซื้อ” พร้อมเพิ่ม TP เป็น 84 บาท (จาก 80 บาท) หลังเพิ่มคาดการณ์กำไรหลัก 21% ปี 66 แรงหนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนประเมินว่า MINT จะได้รับอานิสงส์จากราคาก๊าซที่ลดลงในยุโรป เนื่องจากดัชนี TTF (ตะกร้าราคาก๊าซในยุโรป) ปรับตัวลงอย่างรวดเร็วเป็น 54.60 ยูโร/MWh จากจุดสูงสุดที่ 311 ยูโร/MWh ในเดือน ส.ค. 65 โดย MINT มีสัดส่วน 60% ของรายได้โรงแรมจากการดำเนินงานในยุโรป ซึ่งป้องกันความเสี่ยง 65% ของต้นทุนก๊าซในปี 66 ในราคาที่ไม่เปิดเผยบล.เมย์แบงก์ฯ จึงไม่ทราบต้นทุนต่อเมกะวัตต์ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารเผยว่าต้นทุนก๊าซอาจอยู่ระหว่าง 5-6% ของยอดขายทั้งหมดในปี 66 และ บล.เมย์แบงก์ฯ เคยคาดไว้ที่ 6% (ของยอดขายทั้งหมด) และในรายงานนี้ บล.เมย์แบงก์ฯ ลดลงเหลือ 5.5% (ของยอดขายทั้งหมด) ส่งผลให้ SG&A ต่อยอดขายรวมลดลง 0.2ppt เป็น 0.6ppt สำหรับปี66 และ 67 นี่คือเหตุผลที่ บล.เมย์แบงก์ฯ เพิ่มคาดการณ์กำไรหลักในปี 66 ขึ้น 16% และเพิ่ม TP 17.1% เป็น 41 บาท จึงเลือก MINTเป็น Top Pick ของ บล.เมย์แบงก์ฯ จากราคาหุ้นที่น่าสนใจที่ P/E ปี 67 ที่ 19.2 เท่า (เมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัวเต็มที่หลังโควิด) มองว่าราคาหุ้นที่ปรับฐานได้สะท้อนความกังวลประเด็นภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยุโรปไปแล้ว
ดังนั้น คาดว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวทั้งหมดที่วิเคราะห์จะพลิกทำกำไรได้ในไตรมาสนี้จากช่วงไฮซีซันในไตรมาส 4 และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น (40% จากไตรมาสก่อน) โดยประเมิน ERW และ MINT จะมีอัตราการเข้าพักสูงสุดที่ 80% และ 70% ตามลำดับ โดย ERW จะได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวในไทย ส่วน MINT ได้จากยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MINT การฟื้นตัวเทียบไตรมาสก่อน น่าจะเป็นเซอร์ไพรส์ เนื่องจากโดยปกติแล้วไตรมาส 4 จะเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวในยุโรป แต่ในไตรมาส 4 ปี65 MINT ยังคงได้รับอานิสงส์จากอุปสงค์คงค้างสูงในยุโรป ซึ่งนำไปสู่การฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ AOT, AWC และ CENTEL น่าจะทำกำไรได้ทั้งหมด จากส่วนลด50% สำหรับผู้เช่าและสายการบิน (หมดเขตสิ้นเดือน มี.ค. 66) สำหรับ AOT, และ AWC อัตราค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ที่ปรับขึ้นยากเนื่องจากสัญญาระยะยาว ส่วน CENTEL ธุรกิจร้านอาหารทรงตัวแล้ว (60% ของรายได้)ความเสี่ยงที่สำคัญคือต้นทุนที่สูงขึ้น แม้จะเชื่อว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเร็วในปี 66 แต่ ยังกังวลประเด็นราคาหุ้นที่สูงที่ P/E ปี 67 ที่ 19-125.1 เท่า ความเสี่ยงสำคัญคือต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลต่ออัตราการทำกำไร