xs
xsm
sm
md
lg

แรงขาย DELTA ฉุดหุ้นไทยปิดร่วง -8.80 จุด โบรกฯแนะ ลุ้นรีบาวด์ - IAA หั่นเป้าดัชนีปี 66 เหลือ 1,707 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



แรงขายหุ้น DELTA หลังถูกตลาดหลักทรัพย์ ประกาศเข้าเกณฑ์ Cash Balance วันนี้วันแรก ฉุดหุ้นไทยปิดร่วง -8.80 จุด ปรับตัวลดลงแรงกว่าภูมิภาค โบรกฯแนะจับตาลุ้นรีบาวด์ในวันพรุ่งนี้ ด้านสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ประเมินดัชนี SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,508 ถึง 1,721 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปีจะปิดที่ 1,707 จุด ลดลง 34 จุดจากระดับคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1,741 จุด มองกรอบการลงทุนวันพรุ่งนี้แนวรับไว้ที่ 1,590 จุด และแนวต้าน 1,615 จุด

ตลาดหุ้นไทบยปิดทำการซื้อขายวันที่ 3 เมษายน 2566 ปรับตัวลดลง -8.80 จุด หรือ -0.55% โดยปิดตลาดที่ 1,600.37 จุด มูลค่าการซื้อขาย 46,844.95 ล้านบาท โดยภาพรวมการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับตัวในทิศทางขาลงตลอดทั้งวันตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงเช้า โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,613.98 จุด ในทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,593.96 จุด

ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 629 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 510 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 821 หลักทรัพย์

ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนในประเทศขายสุทธิกว่า -1,953.22 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -266.00 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า +1,317.41 ล้านบาท และ บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +901.81 ล้านบาท

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 3,820.94 ล้านบาท ปิดที่ 159.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท
2.PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,803.74 ล้านบาท ปิดที่ 31.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท
3.DELTA มูลค่าการซื้อขาย 2,601.87 ล้านบาท ปิดที่ 970.00 บาท ลดลง 172.00 บาท
4.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,405.44 ล้านบาท ปิดที่ 133.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
5.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,649.79 ล้านบาท ปิดที่ 62.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BBL ปิดที่ 154.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 1.65%
2.PTTEPปิดที่159.50 บาท เพิ่มขึ้น 9.00บาท หรือ 5.98%
3.BCPปิดที่33.00บาท เพิ่มขึ้น 2.00บาท หรือ 6.45%
4.SCCปิดที่ 317.00บาท เพิ่มขึ้น 2.00บาท หรือ 0.63%
5.TOP ปิดที่ 54.00บาท เพิ่มขึ้น 1.50บาท หรือ 2.86%

ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.DELTA ปิดที่ 970.00บาท ลดลง 172.00 บาทหรือ 15.06%
2.CBGปิดที่ 92.50บาท ลดลง 3.25บาทหรือ 3.39%
3.BGRIMปิดที่ 39.50บาท ลดลง 1.00บาทหรือ 2.47%
4.TIPHปิดที่ 41.25บาท ลดลง 1.00บาทหรือ 2.37%
5.FORTH ปิดที่ 31.50บาท ลดลง 0.50บาทหรือ 1.56%

ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,161.33 จุด ลดลง -16.52 จุด หรือ -0.76% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 964.83 จุด ลดลง -9.43 จุด หรือ -0.97% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 541.64 จุด เพิ่มขึ้น 3.54 จุด หรือ 0.66%

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย (PI) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงแรงกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย รับแรงขายหุ้น DELTA หลังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศให้ DELTA เข้าเกณฑ์ต้องใช้บัญชีเงินสดในการซื้อขายหลักทรัพย์ (Cash Balance) หลังจากราคาปรับขึ้นอย่างร้อนแรง โดยการปรับตัวลงราว 160 บาท มีผลต่อตลาดฯ 16 จุด

ขณะที่แม้หุ้นกลุ่มพลังงาน จะได้ปัจจัยบวกจากกลุ่มโอเปคประกาศปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก 1.16 ล้านบาร์เรล/วัน แต่ก็ไม่สามารถประคองดัชนีฯ ไว้ได้ เนื่องจากแรงขายในหุ้น DELTA ฉุดตลาดอยู่มาก

ส่วนแนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดตลาดฯ น่าจะรีบาวด์ได้ หลังนักลงทุนรับข่าว DELTA ติด Cash Balance ไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามการเปิดเผยตัวเลข PMI ของสหรัฐ ในคืนนี้ หากออกมาต่ำกว่าคาดจะเป็นผลดีต่อตลาดให้แนวรับไว้ที่ 1,590 จุด และแนวต้าน 1,615 จุด

ขณะที่ นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนักว่า มุมมองจากไตรมาส 2/66 ไปถึงสิ้นปี คาดว่า SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,508 ถึง 1,721 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปีจะปิดที่ 1,707 จุด ลดลง 34 จุดจากระดับคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 1,741 จุด โดยปัจจัยที่มีผลบวกต่อดัชนี SET ในปี 66 ได้แก่ เศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งบนสมมติฐานคาด GDP ปี 66 เฉลี่ยอยู่ที่ 3.50% ราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ 83.04 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล รองลงมาเป็นปัจจัยการเมืองในประเทศ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ปี 66 และ Fund Flow จากต่างประเทศสู่ตลาดทุนไทย

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 66 ของตลาดเฉลี่ยที่ 95.77 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 105.34 บาทต่อหุ้น และ EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 13.02%

"นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนราว 50% มองว่าดัชนี SET ในไตรมาส 2/66 มีแนวโน้มไปในทิศทางบวก ขณะที่ 30.77% มองแนวโน้ม Sideway และ 19.23% มองว่าตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางลบ โดยค่าเฉลี่ยดัชนี SET ณ สิ้นไตรมาส 2/ปี 66 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,642 จุด" นายสมบัติ กล่าว

ทั้งนี้ปัจจัยที่ควรจับตา ซึ่งมีผลต่อการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/66 ส่วนใหญ่เห็นว่า คือ การเลือกตั้งในประเทศ และการจัดการของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อปัญหาสถาบันการเงินและนโยบายดอกเบี้ย


กำลังโหลดความคิดเห็น