ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ รุกเพิ่มยอดขายถุงยางอนามัย พร้อมแตกแบรนด์ “แกสซึ่ม” ขยายตลาดในยุโรป และ “คัสตอม” ทำตลาดในอเมริกา เตรียมเพิ่มตัวแทนจำหน่ายและทำการตลาดในจีนหลังรัฐบาลเปิดประเทศ ชูนวัตกรรมถุงยาง อนามัย “รุ่น G-CON” ผลิตได้รายแรกเป็นหัวหอกขยายตลาด ส่วนความคืบหน้าธุรกิจใหม่ “กัญชง” เดินหน้าเจรจาลูกค้าหลังได้รับใบอนุญาตโรงงานสกัดแล้ว และรุกพัฒนาสินค้าที่มีส่วนผสมของสาร CBD ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ นำร่องเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์ปี 2566 จะมุ่งเพิ่มยอดขายถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ในต่างประเทศ โดยเฉพาะทวีปยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา และจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และศักยภาพเติบโตสูง ประกอบกับหลายประเทศทั่วโลกคลายความกังวลจากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่างๆ เป็นปกติ
ปัจจุบันได้ขยายผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ เพื่อบุกตลาดต่างประเทศ ได้แก่ แบรนด์ “แกสซึ่ม” เพื่อจำหน่ายในทวีปยุโรป แบรนด์ “คัสตอม” เพื่อจำหน่ายในประเทศสหรัฐฯ โดยรุกตลาดผ่านวอล์มาร์ทซึ่งเป็นห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ที่เคยเป็นคู่ค้ากับบริษัทฯ มา นอกจากนี้ จะพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีก 1-2 รายในประเทศจีน จากปัจจุบันที่มีตัวแทนจำหน่ายซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจีน พร้อมทั้งวางแผนทำการตลาดร่วมกับผู้แทนจำหน่ายมากขึ้นหลังจากที่รัฐบาลจีนประกาศเปิดประเทศ และผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะนำเสนอถุงอนามัยรุ่น “G-CON” ภายใต้แบรนด์ “แกสซึ่ม” และการรับจ้างผลิตภายใต้แบรนด์ของลูกค้า (OEM) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อย โดยบริษัทฯ สามารถผลิตได้เป็นรายแรกและรายเดียวของโลกในปัจจุบัน จึงมีราคาขายสูงกว่าสินค้ารุ่นปกติ จุดเด่นคือรูปลักษณ์ที่ได้รับการออกแบบให้มีพื้นผิวเป็นเนินสูงต่ำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรู้สึกในการสัมผัสที่ดียิ่งขึ้น
ส่วนแบรนด์ ONETOUCH ที่วางจำหน่ายในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก ได้จัดทำแคมเปญ “คลาสสิกซีรีส์” ตอกย้ำสินค้าเรือธง “วันทัช รุ่นแฮปปี้” ขนาด 52 มม. ที่มียอดขายสูงสุดต่อเนื่องมาตลอด 6 ปี นับจากปี 2560-2565 โดยกลยุทธ์ในปีนี้จะวางจำหน่ายถุงยางอนามัยที่มีขนาดหลากหลายยิ่งขึ้น ตั้งแต่ขนาดเล็กสุด 45 มม. ถึง 60 มม. เพื่อเพิ่มทางเลือกแก่คนไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวหลังเปิดประเทศ นอกจากนี้ จะเพิ่มการทำกิจกรรมการตลาดในช่องทางออนไลน์ เพื่อสร้างยอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องและขยายตลาดกลุ่ม B2C
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TNR กล่าวถึงความคืบหน้าการขยายธุรกิจกัญชงว่า หลังจากเปิดตัวบริษัท ทีเอ็นอาร์ ไบโอไซเอินซ์ จำกัด (TNRBio) เมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อรุกธุรกิจกัญชงระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ได้แก่ การวิจัยพัฒนาการปลูกและคัดเลือกสายพันธุ์ร่วมกับทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ผลิตและจำหน่ายสารสกัด ผลิตและจำหน่ายสารสกัด พัฒนาสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีส่วนผสมของสาร CBD (Cannabidiol) และให้บริการตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์จากกัญชงและกัญชา ปัจจุบันโรงงานสกัดสารสำคัญจากกัญชงซึ่งเป็นธุรกิจกลางน้ำได้รับใบอนุญาตและเริ่มเดินเครื่องจักรแล้ว บริษัทฯ เริ่มมีส่งมอบสารสกัดและอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าที่สนใจซื้อสารสกัด CBD ซึ่งสามารถผลิตเป็นสารสกัด Full Spectrum (CBD Distillate ที่มี THC น้อยกว่า 0.2%) สารสกัดบริสุทธิ์ (CBD isolate) แบบผงที่มีความบริสุทธิ์มากกว่า 98% และแบบละลายน้ำ (CBD water soluble) เพื่อนำไปใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รุกพัฒนาสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีส่วนผสมของสาร CBD ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ เช่น น้ำมันหอมระเหย เครื่องดื่ม เป็นต้น ที่มีคุณสมบัติช่วยให้เกิดความผ่อนคลายและบรรเทาการอักเสบ โดยเริ่มจากการทำตลาดกับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม หากได้รับการตอบรับที่ดีจะขยายสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรมและแต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายสินค้าต่อไป