หุ้นไทยพลิกฟื้นกลับปิด +41.11 จุด หลังจากวานนี้ปิดร่วงแรงจากความกังวลสภาพคล่องกลุ่มแบงก์ โบรกฯ ประเมินเฟดอาจยังไม่ลดดอกเบี้ยหลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐแม้ออกมาตามคาด มองแนวโน้มวันพรุ่งนี้คาดฟื้นได้ต่อเนื่องให้แนวต้านที่ 1,585 จุด และแนวรับ 1,555 จุด แนะนักลงทุนปรับพอร์ตตามสถานการณ์ดอกเบี้ยเฟด
ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อขายวันที่ 15 มี.ค.2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +41.11 จุด หรือ +2.70% โดยปิดตลาดที่ 1,565.00 จุด มูลค่าการซื้อขาย 69,703.56 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการลงทุนในวันนี้ ดัชนีรีบาวด์ขึ้นมาอย่างร้อนแรง โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,573.51 จุด ในทางกลับกันที่ปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,543.61 จุด
ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 1,278 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 444 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 302 หลักทรัพย์
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิกว่า +1,557.22 ล้านบาท และ นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า +960.80 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนในประเทศขายสุทธิกว่า -1,979.13 ล้านบาท บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -538.90 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.AOT มูลค่าการซื้อขาย 3,650.42 ล้านบาท ปิดที่ 70.75 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท
2.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 3,075.21 ล้านบาท ปิดที่ 131.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาท
3.PRTR มูลค่าการซื้อขาย 2,685.63 ล้านบาท ปิดที่ 10.10 บาท เพิ่มขึ้น 2.90 บาท
4.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,969.49 ล้านบาท ปิดที่ 61.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท
5.DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,956.56 ล้านบาท ปิดที่ 974.00 บาท เพิ่มขึ้น 40.00 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.DELTA ปิดที่ 974.00บาท เพิ่มขึ้น 40.00 บาทหรือ 4.28%
2.BH ปิดที่ 212.00บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาทหรือ 3.41%
3.SCC ปิดที่ 323.00บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาทหรือ 2.22%
4.KBANK ปิดที่ 131.50บาท เพิ่มขึ้น 5.00 บาทหรือ 3.95%
5.AOT ปิดที่ 70.75 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาทหรือ 6.79%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.JMART ปิดที่ 21.40 บาท ลดลง 1.60 บาทหรือ6.96%
2.SCGPปิดที่48.75 บาท ลดลง 0.50 บาทหรือ1.02%
3.CK ปิดที่18.90 บาท ลดลง 0.40 บาทหรือ2.07%
4.THG ปิดที่69.25 บาท ลดลง 0.25 บาทหรือ0.36%
5.ONEE ปิดที่ 6.10 บาท ลดลง 0.10 บาทหรือ 1.61%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,105.63 จุด เพิ่มขึ้น 59.83 จุด หรือ 2.92% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 937.98 จุด เพิ่มขึ้น 27.27 จุด หรือ 2.99% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 544.57 จุด เพิ่มขึ้น 11.34 จุด หรือ 2.13%
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ดีจากที่ดิ่งไปเกือบ 50 จุดเมื่อวานนี้ แม้วันนี้จะไม่ได้มีอัตราเร่งใดเป็นพิเศษ แต่หลังจากที่ตลาดปรับลงไปใกล้ 1,520 จุดซึ่งเป็นแนวรับสำคัญ ทำให้ P/E ลงมาที่ 15 เท่า นักลงทุนจึงตัดสินใจเสี่ยงเข้าซื้อ โดยด้านเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ชะลอไหลเข้าตลาดตราสารหนี้แล้ว หลังจากช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาต่อเนื่อง 3 วันที่ผ่านมา Fund Flow โยกเข้าตลาดตราสารหนี้ไปค่อนข้างมากเพราะมองว่ามีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะลดดอกเบี้ยหลังจากเกิดปัญหาภาคธนาคาร แต่เนื่องจากล่าสุดตัวเลขเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง ทำให้คาดว่าเฟดอาจยังไม่ลดดอกเบี้ย น่าจะเลือกหนทางตรึงดอกเบี้ยไว้มากกว่า และยังไม่มีสัญญาณที่บ่งชี้ว่า Fund Flow จะไหลกลับเข้าตลาดหุ้นมากนัก โดยเงินบาทวันนี้แกว่งตัวแคบ
อย่างไรก็ดีแนะนำนักลงทุนปรับพอร์ตตามสถานการณ์ โดยลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นที่เคย perform จากดอกเบี้ยเฟดเป็นขาขึ้น อาทิ กลุ่มแบงก์, กลุ่มประกัน เนื่องจากมองว่าดอกเบี้ยคงไม่สูงไปกว่านี้ ขณะที่กลุ่มที่เคย under perform ก็น่าจะฟื้น อาทิ กอง REIT, สื่อสาร, อาหาร, ค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น BJC, CPALL, MAKRO และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่อิงกับตลาดพันธบัตร โดยประเมินแนวโน้มในวันพรุ่งนี้คาดตลาดน่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยให้แนวต้านที่ 1,585 จุด และแนวรับที่ 1,555 จุด