xs
xsm
sm
md
lg

'ตลท.' ยันแบงก์สหรัฐฯ วิกฤตไม่กระทบเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ย้ำแบงก์ไทยแกร่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ภากร" ออกโรงแจงกรณีธนาคาร Silvergate Capital ในสหรัฐฯ ปิดทำการ และธนาคาร Silicon Valley (SVB) ประสบปัญหาสภาพคล่องหนักจนประกาศคุ้มครองเงินฝาก รวมทั้งตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องให้ธนาคารพาณิชย์ที่มีปัญหา ยันไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทย เพราะระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแกร่งมาก  

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า กรณีธนาคาร Silvergate Capital ในสหรัฐปิดทำการ และธนาคาร Silicon Valley (SVB) ประสบปัญหาสภาพคล่องหนัก จนสหรัฐฯ ต้องประกาศแนวทางคุ้มครองเงินฝากของผู้ฝากเงินใน SVB รวมทั้งตั้งกองทุนเสริมสภาพคล่องให้ธนาคารพาณิชย์ที่มีปัญหากู้เงินกับธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยเบื้องต้นประเมินว่ายังไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทย เพราะระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีความแข็งแรงมาก และมีโชคด้วย เพราะมีทุนเฉลี่ย 18-19% ซึ่งสูงที่สุดในโลก รวมถึงเงินที่มาจากธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital) และสกุลเงินดิจิทัล (คริปโตเคอร์เรนซี่) ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับระบบเศรษฐกิจ

"หากมีผลกระทบคงอยู่ในด้านสภาพคล่องมากกว่า เพราะสภาพคล่องในตลาดโลกลดลง เนื่องจากมีหลายธนาคารที่ตอนนี้ยังไม่สามารถเบิกถอนได้ตามปกติ ซึ่งส่วนนี้อาจมีผลกระทบทางอ้อมขึ้น แต่จากการประเมินเชื่อว่ายังน้อยอยู่ โดยระบบธนาคารพาณิชย์เป็นการฝากเงินระยะสั้น นำเงินไปปล่อยในระยะยาว ป้องกันความเสี่ยงผ่านการกระจายฐานเงินฝาก ภาพรวมเศรษฐกิจ และการลงทุนให้เหมาะสม ซึ่งธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ได้มีปัญหาในเรื่องนี้ เรามีความเข้มแข็งอยู่" นายภากร กล่าว

นายภากร กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงหลักในปี 2566 คือ การปรับขึ้นดอกเบี้ย เศรษฐกิจถดถอย และการลดลงของสภาพคล่อง ซึ่งภาวะเหล่านี้จะอยู่กับเราไปอีกสักพักใหญ่ จนกว่าธนาคารทั่วโลกจะมองเห็นว่าความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อลดลง ซึ่งจะเป็นผลกระทบ เช่น ทำให้เกิดการถอนเงินจนสถาพคล่องลดลง โดยหากเรามีข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นว่าต้นต่อของเหตุต่างๆ คลายตัวได้หรือไม่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวบอกได้ว่าสภาพคล่องจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร สำหรับทิศทางเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ขณะนี้เราเห็นเม็ดเงินลงทุนสลับจากการลงทุนความเสี่ยงน้อย ไปลงทุนในความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ซึ่งการลงทุนในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างประเทศไทยเป็นส่วนที่คาดหวังผลตอบแทนสูงขึ้นกว่าการลงทุนประเภทอื่นได้ โดยหากสถานการณ์คลายลง อาจเห็นกระแสเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลกลับเข้ามาใหม่ได้

นายศรพล ตุลยเสภียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ความเชื่อมโยงกับไทย หากดูสาเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เชื่อมโยงกับธนาคารพาณิชย์ของไทย เพราะลูกค้าธนาคารพาณิชย์ไทยค่อนข้างมีความแตกต่าง และเป็นฐานรากของธุรกิจ ต่างจากลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯ ที่เป็นกลุ่มสตาร์ทอัป หรือไฮเทคเป็นหลัก ทำให้กรณีที่จะเกิดผลกระทบลามมาถึงจากกลไกสาเหตุเดียวกัน มองว่าไม่ใช่ รวมถึงขนาดของธนาคารสหรัฐฯ ที่เกิดวิกฤตนั้นมีความใหญ่มากพอ จนลุกลามถึงการเชื่อมโยงช่องทางส่งออกหรือนำเข้าจากไทย อันนี้มองว่าไม่น่าจะถึงขั้นนั้น เพราะขนาดของธนาคารนี้แม้จะใหญ่แต่เป็นสัดส่วนที่ไม่มาก หากเทียบกับธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯ รวมถึงถูกควบคุมสถานการณ์ไว้แล้ว และตัวเลขจีดีพีของสหรัฐฯ ที่ออกมาก็ค่อนข้างเข้มแข็งด้วย จึงมองว่ายังไม่ได้เป็นผลกระทบกับไทย

"ช่องทางอื่นที่จะลามได้เป็นช่องทางการเงิน ยังต้องติดตามอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอย่างใกล้ชิด ซึ่งเท่าที่ประเมินมีปรับขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกลับลงมาได้บ้าง โดยตัวที่น่ากลัวที่สุดตอนนี้คือ ความกลัวไปเองในบรรยากาศและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับไทย ทั้งที่พื้นฐานแตกต่างกัน" นายศรพล กล่าว

นายศรพล กล่าวว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีเงินลงทุนเคลื่อนย้ายออกจากตลาดหุ้นหลายแห่งในภูมิภาค รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ผู้ลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาขายสุทธิจากที่เคยซื้อสุทธิต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ปรับตัวแข็งค่าตามการคาดการณ์ดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะยังคงเพิ่มขึ้น รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประกาศต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ค่อนข้างมาก จากภาคการส่งออกและการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาครัฐที่ลดลง แม้การบริโภคภายในประเทศยังฟื้นตัวตามภาคบริการและท่องเที่ยว ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ดัชนีหุ้นปิดที่ระดับ 1,622.35 จุด ปรับลดลง 2.9% จากเดือนมกราคมที่ผ่านมา เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค

นายศรพล กล่าวว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 67,066 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 2565 ประมาณ 32.3% โดยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน 2 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 69,600 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเป็นเดือนแรกด้วยมูลค่า 43,562 ล้านบาท หลังจากเป็นซื้อสุทธิ 4 เดือนต่อเนื่อง ซึ่งนักลงทุนต่างชาติยังมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10


กำลังโหลดความคิดเห็น