นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (9 มี.ค.) ที่ระดับ 35.07 บาทต่อดอลลาร์ ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.95-35.15 บาท/ดอลลาร์ โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ทำให้ดัชนี S&P500 เคลื่อนไหวผันผวน ก่อนปิดตลาด +0.14% หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP รวมถึง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) ยังคงออกมาดีกว่าคาด สะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัว ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุดจาก CME FedWatch Tool โอกาสที่เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ในการประชุมเดือนมีนาคมได้เพิ่มสูงขึ้นสู่ระดับเกือบ 80%
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าบรรดาผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มเข้าสู่โหมด Wait and See หรือรอประเมินข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองอย่างชัดเจน ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยในช่วงระยะสั้น โซนแนวรับจะอยู่ในช่วง 34.90-35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเรายังคงเห็นความต้องการซื้อเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้เล่นในตลาดอยู่ เช่น บรรดาผู้นำเข้าและบริษัทข้ามชาติ ส่วนโซนแนวต้านสำคัญของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 32.25 บาทต่อดอลลาร์ (ถ้าอ่อนค่าทะลุระดับดังกล่าว อาจอ่อนค่าต่อทดสอบ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ได้)
อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่าควรจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติซึ่งยังมีทิศทางไม่แน่นอน แต่โดยรวมเราประเมินว่าแรงขายสินทรัพย์ไทยได้เริ่มชะลอลงบ้าง ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ ก่อนที่ตลาดจะเข้าสู่ช่วงไฮไลต์สำคัญในวันศุกร์ที่จะมีการรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ในช่วงนี้ จะเห็นได้ว่าความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง (ค่าเงินบาทผันผวนในระดับ 9%-10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาที่ระดับ 5% เป็นอย่างมาก) ทำให้เรามองว่าผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย เช่น Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวนด์ขึ้นเล็กน้อย +0.09% ตามการรีบาวนด์ของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่เผชิญแรงขายหนักในช่วงที่ผ่านมา (ASML +1.4% Kering +0.7%) อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของบรรดาธนาคารกลางหลัก ซึ่งผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) จนเกือบแตะระดับ 4.00% ได้ในปีนี้
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดยังคงสนับสนุนแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด พร้อมกับเปิดโอกาสการเร่งขึ้นดอกเบี้ย (+50bps) ในการประชุมเดือนมีนาคม ทำให้บอนด์ยิลด์ในฝั่งสหรัฐฯ ต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยิลด์ 2 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทะลุระดับ 5% ทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 16 ปี ส่วนบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 3.98% ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำเดิมว่าผู้เล่นในตลาดควรรอทยอยเข้าซื้อบอนด์ในช่วงบอนด์ยิลด์ปรับตัวสูงขึ้น โดยอาจประเมิน Break-even yield (คิดจาก Current Yield/Duration) ในการช่วยประเมินจุดเข้าซื้อที่มีความเสี่ยงเหมาะสม เช่น บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ 4% ขึ้นไป อาจมี Break-even yield > 40bps ซึ่งถือว่า เป็นระดับที่เผื่อโอกาสการปรับตัวขึ้นไปพอสมควร แต่ถ้าเป็นบอนด์ระยะสั้นอย่างบอนด์ยิลด์ 2 ปี สหรัฐฯ ปัจจุบัน อยู่ที่ 5% Break-even yield อาจสูงกว่า 200-250bps ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดพอสมควร
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมทรงตัว โดยมีจังหวะที่อ่อนค่าลงในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก่อนที่จะรีบาวนด์กลับขึ้นมาที่ระดับเดิม หลังข้อมูลการจ้างงานเบื้องต้นออกมาดีกว่าคาด โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงเคลื่อนไหวใกล้ระดับ 105.6 จุด ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การเคลื่อนไหวของราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ค่อนข้างผันผวนตามทิศทางของเงินดอลลาร์ โดยราคาทองคำมีจังหวะรีบาวนด์ขึ้นใกล้โซนแนวต้านตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ก่อนจะพลิกกลับมาปรับตัวลงกลับสู่โซนแนวรับแถว 1,815-1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานที่ดีกว่าคาด
สำหรับวันนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกและการว่างงานต่อเนื่อง (Initial & Continuing Jobless Claims) ซึ่งตลาดประเมินว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใสอาจทำให้ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำหรือไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากจากช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในระยะถัดไป
ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดประเมินว่าธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.75% ต่อ หลัง BNM อาจมองว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่องและการขึ้นดอกเบี้ยก่อนหน้าอาจเพียงพอที่จะคุมปัญหาเงินเฟ้อ โดยที่ไม่กดดันการเติบโตเศรษฐกิจจนเกินไป