xs
xsm
sm
md
lg

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยบาทเปิดตลาดที่ 34.68 ปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่ายังมีอยู่ในระยะสั้น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เผยค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (24 ก.พ.) ที่ระดับ 34.68 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.66 บาทต่อดอลลาร์ และมองกรอบเงินบาทวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.55-34.80 บาท/ดอลลาร์ โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยในช่วงแรกตลาดยังคงเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานยังคงออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถรีบาวนด์กลับขึ้นมาได้จากแรงหนุนการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Semiconductor หลัง Nvidia (ราคาหุ้น +14%) รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด พร้อมทั้งปรับคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตดีขึ้นมาก ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.72% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.53%

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่าการอ่อนค่าลงของเงินบาทยังคงมาจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวและแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเราประเมินว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าดังกล่าวจะยังคงมีอยู่ในระยะสั้นนี้ (อย่างน้อยจนกว่าตลาดจะเลิกหรือคลายกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด) ทำให้เงินบาทมีโอกาสแกว่งตัว sideways และอาจเข้าใกล้โซนแนวต้าน 34.70-34.75 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนราคาที่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่เป็นฝั่ง Long USDTHB (เชื่อว่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง) รอทยอยขายทำกำไรอยู่
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดทยอยรับรู้อัตราเงินเฟ้อ PCE ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอลงอย่างที่ตลาดคาดและกลับเร่งตัวขึ้น เราประเมินว่าตลาดอาจกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดต่อ หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านถัดไปแถว 34.80-34.90 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก แต่เรามองว่าแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอาจจะไม่มาก หลังตลาดเริ่มทำใจกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงช้า ตั้งแต่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ก่อนหน้ามาสักพักแล้ว ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อ PCE ชะลอลงมากกว่าคาดอาจช่วยหนุนให้ตลาดคลายกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดได้บ้าง ซึ่งในภาพดังกล่าวอาจเห็นเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นทดสอบแนวรับ 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ได้

อนึ่งในระยะสั้น เรามองว่าความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครน อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มองข้ามไม่ได้และอาจสร้างความผันผวนให้ตลาดการเงินในช่วงนี้ได้

ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ บอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 3.89% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ที่จะรับรู้ในวันนี้ ก่อนที่จะมีการปรับสถานะการถือครองบอนด์ที่ชัดเจนตามมุมมองต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดต่อไป นอกจากนี้ เรามองว่า การย่อตัวลงของบอนด์ยิลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นส่วนหนึ่งมาจากการทยอยเข้าซื้อบอนด์ (Buy on Dip) ของผู้เล่นในตลาด ซึ่งยังคงมีมุมมองว่าต่อให้เฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ 2-3 ครั้ง เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเสี่ยงชะลอตัวลงหนักในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งบอนด์ยิลด์ระยะยาวอาจปรับตัวลดลงจากระดับปัจจุบันได้

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใสและดีกว่าคาด โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.6 จุด ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์จากแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟด และภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ย่อตัวลงต่อเนื่องใกล้ระดับ 1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ เราคาดว่าการย่อตัวลงของราคาทองคำจะยังคงหนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นข้อมูลด้านเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ โดยตลาดจะรอลุ้นว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในภาคการบริการที่ไม่รวมที่พักอาศัย (Core PCE Services ex. housing) จะส่งสัญญาณชะลอตัวลงต่อ หรือกลับมาเร่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจปรับดอกเบี้ยของเฟดได้นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดว่าจะขึ้นไปถึงระดับใด

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดดังกล่าว เรามองว่า ในระยะสั้นควรจับตาสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่อาจกลับมาร้อนแรงได้ (รัสเซียอาจเปิดฉากบุกโจมตียูเครนครั้งใหญ่อีกรอบ)
กำลังโหลดความคิดเห็น