การใช้ข้อมูลภายในแสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น หรืออินไซเดอร์เทรดดิ้ง เกิดขึ้นบ่อยมากในตลาดหุ้น แต่ไม่เคยมีข้าราชการระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้อง เพิ่งจะมีกรณีอินไซเดอร์หุ้นบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เท่านั้นที่มี 2 ข้าราชการระดับสูง กระทรวงการคลังเข้าไปพัวพันด้วย
การอินไซเดอร์หุ้น BCP ถูกเปิดโปงเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดย 2 ข้าราชการระดับสูงที่ถูกระบุว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายการกระทำความผิดการใช้ข้อมูลภายในประกอบด้วย นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ และ น ส.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง
รายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า นายจำเริญ ทยอยซื้อหุ้น BCP ระหว่างวันที่ 22-26 ธันวาคม 2565 จำนวนรวมทั้งสิ้น 6 แสนหุ้น ในราคาประมาณหุ้นละ 28 บาทเศษ ถึง 31 บาทเศษ
ส่วน น.ส.กุลยา ได้รับการจัดสรรหุ้น BCP จำนวน 3 แสนหุ้น ซึ่ง BCP จัดสรรให้กรรมการและพนักงานบริษัท เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2565 ในราคาหุ้นละ 28.14 บาท
หลังจาก BCP แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ถึงมติคณะกรรมการบริษัทฯ ในการซื้อหุ้น บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ในสัดส่วน 65.99% ของทุนจดทะเบียน ในราคาประมาณหุ้นละ 8.84 บาท ระหว่างพักการซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันที่ 12 มกราคม นายจำเริญ ได้ขายหุ้น BCP ออกจำนวน 1.5 แสนหุ้น ราคา 34.75 บาท
ถ้าคำนวณหุ้น BCP จำนวน 6 แสนหุ้นที่นายจำเริญ ซื้อเก็บไว้ เทียบกับราคาปิดที่ 34.50 บาท นายจำเริญ จะมีกำไรจากส่วนต่างราคาประมาณ 2.4 ล้านบาท หรือมากกว่า
ส่วน น.ส.กุลยา จะมีกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นบางจากไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท
ทั้งนายจำเริญ และ น.ส.กุลยา เป็นกรรมการ BCP ในฐานะตัวแทนจากกระทรวงการคลัง โดยทั้งคู่เป็นกรรมการของรัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนอยู่หลายแห่ง
น.ส.กุลยา มีข้อมูลรายได้ที่เปิดเผยต่อสาธารณชนปีละประมาณ 4.5 ล้านบาท โดยมีรายจากเงินเดือนปีละ 1.1 ล้านบาท และรายได้จากเบี้ยประชุมอีกปีละ 3.4 ล้านบาท ยังไม่รวมรายได้อื่น เช่น รายได้จากส่วนต่างราคาหุ้น BCP ที่ได้รับการจัดสรรโควตาหุ้นต้นทุนต่ำอีก 3 แสนหุ้น
ไม่มีระเบียบ กฎเกณฑ์ หรือกติกากำหนดไว้ชัดเจนว่า ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังที่ไปนั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรเอกชนในโควตาตัวแทนของกระทรวงการคลัง ห้ามรับหุ้นที่รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรเอกชนจัดสรรให้
มีเพียงคำถามว่า การที่ข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลัง เข้าไปนั่งเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรเอกชนในฐานะตัวแทนกระทรวงการคลัง แต่ไปรับหุ้นโควตาจัดสรรหุ้นจากรัฐวิสาหกิจหรือองค์กรเอกชน รับผประโยชน์ใส่กระเป๋าตัวเองมีความเหมาะสมหรือไม่
และเป็นการขัดแย้งเชิงผลประโยชน์หรือไม่ เพราะข้าราชการกระทรวงการคลัง เมื่อเข้าไปเป็นกรรมการองค์กรหรือหน่วยงานใด ต้องทำหน้าที่ดูแลผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน
แต่เมื่อรับหุ้นจากองค์กรที่เข้าไปเป็นกรรมการ ได้รับผลประโยชน์ ซึ่งอาจอยู่ในข่ายให้สินบน อาจทำให้ตัวแทนกระทรวงการคลังทำหน้าที่ปกป้ององค์กรที่จัดสรรผลประโยชน์มาให้
ในอดีตเคยมีกรณีฉาวโฉ่มาแล้ว รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ถูกส่งเข้าไปเป็นกรรมการสถาบันการเงินเพื่อกำกับดูแลสถาบันการเงิน แต่เมื่อสถาบันการเงินเพิ่มทุน และจัดสรรโควตาหุ้นให้กรรมการ รวมถึงรองผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ จนสังคมเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
แต่ไม่มีข้อสรุปว่า การรับหุ้นของรองผู้ว่าฯแบงก์ชาติ มีความเหมาะสมหรือไม่ ผิดจริยธรรมหรือไม่ นอกจากการถามหาสำนึกในศักดิ์ศรีความเป็นคนของแบงก์ชาติเท่านั้น
พฤติกรรมการรับหุ้นโควตาจัดสรรของ น.ส.กุลยา จาก BCP จำนวน 3 แสนหุ้น และมีผลประโยชน์เกิดขึ้นไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ไม่แตกต่างจากกรณีฉาวโฉ่ของอดีตรองผู้ว่าฯ แบงก์ชาติในอดีตเมื่อกว่า 26 ปีก่อน
แต่ไม่รู้ว่ากระทรวงการคลังจะทบทวน ระเบียบกติกาของข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังที่ออกมานั่งเป็นกรรมการหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ หรือไม่
ส่วนพฤติกรรมเข้าข่ายอินไซเดอร์ของนายจำเริญ ไม่รู้ว่ากระทรวงการคลังจะมีระเบียบกติกาป้องกันหรือลงโทษอย่างไรหรือไม่
แต่สำคัญที่สุด พฤติกรรมการไล่ซื้อหุ้น BCP ดักข่าวการซื้อหุ้น ESSO วิญญูชนลงความเห็นว่า เป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายอินไซด์แน่นอน
เพียงแต่ ก.ล.ต.จะกล้าฟันข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังหรือไม่ กล้าลงโทษเพียงใด
สมมุติว่า ก.ล.ต.ไม่เลือกปฏิบัติ สั่งลงโทษนายจำเริญ อธิบดีกรมธนารักษ์คนปัจจุบัน จะถูกชึ้นบัญชีดำ ห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนตามระยะเวลาที่กำหนด หมดอนาคตการเข้าไปมีรายได้พิเศษจากตำแหน่งกรรมการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น
และเมื่อทำผิดร้ายแรงตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กระทรวงการคลังควรลงโทษทางวินัยซ้ำเติม
ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนว่าข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการคลังใช้อินไซเดอร์ เอาเปรียบนักลงทุนในตลาดหุ้น แต่เมื่อเกิดกรณีฉาวโฉ่ขึ้นมาแล้ว
2 อธิบดีที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายอินไซเดอร์หุ้น BCP ยังนั่งอยู่ในเก้าอี้ต่อไปได้หรือ และจะฟอกมลทินที่ติดตัวได้อย่างไร