หลักทรัพย์บัวหลวง ชี้ตลาดหุ้นไทยปี 2566 มีโอกาสวิ่งไปแตะ 1,811 จุด หนุนโดยภาคท่องเที่ยวและการบริโภคฟื้นตัว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ และทั่วโลกในระยะยาวอาจปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต 9.5% แนะลดการถือครองเงินสด พร้อมเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้นจีน
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงมุมมองการลงทุนในปี 2566 ว่า มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะวิ่งขึ้นไปแตะระดับ 1,811 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายในประเทศอย่างภาคท่องเที่ยวและการบริโภคที่ฟื้นตัว รวมถึงภาคเอกชนที่มีการลงทุนมากขึ้น หลังประกาศเปิดประเทศอย่างเต็มตัวไปเมื่อกลางปี 2565
ขณะเดียวกัน ยังได้รับแรงหนุนจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ และทั่วโลกที่ในระยะยาวอาจปรับตัวลงเข้าสู่ภาวะปกติ โดยทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ จะแตะระดับสูงสุดในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 4.50-4.75% แม้ว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตร (Nonfarm Payroll) ในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา จะเพิ่มขึ้นถึง 517,000 อัตรา ซึ่งมาจากความต้องการพนักงานบริการด้านการท่องเที่ยว การแพทย์ และบริการภาคเอกชนอื่นๆ
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ราคาน้ำมัน หากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแรงจากการที่จีนเปิดประเทศและหลายประเทศกลับมาใช้พลังงานพร้อมเพรียงกัน อาจทำให้เกิดประเด็นเงินเฟ้ออีกรอบ หรือหากเศรษฐกิจหดตัวแรงกว่าคาดจนฉุดราคาน้ำมันลงแรงอาจกระทบกำไรกลุ่ม ปตท.ถือเป็นปัจจัยเซอร์ไพรส์ตลาด เราประเมินว่า ราคาน้ำมัน West Texas อาจแกว่งตัวในกรอบราคา 70-100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และในปี 2566 ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันอาจอยู่ที่ 98 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
“สำหรับประเด็นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย มองว่าเป็นเรื่องที่สามารถบริหารจัดการได้ คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวได้ ไม่มีอะไรน่ากังวลมากนัก ส่วนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2566 ประเมินไว้ระดับ 2.70% โดยแรงขับเคลื่อนหลักมาจากโซนเอเชียที่จะขยายตัวประมาณ 5.2% คาดว่าอาเซียน จีน ไทย สหรัฐฯ และญี่ปุ่นจะขยายตัวประมาณ 5-5.5% 5.2% 4.3% 1.3% และ 1.2% ตามลำดับ ส่วนแถบยุโรปคาดว่าอาจหดตัว 0.2%” นายชัยพร กล่าว
ในส่วนของกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2566 คาดว่ายังคงขยายตัวต่อเนื่องประมาณ 9.5% แม้ว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4 ปี 2565 อาจหดตัวประมาณ 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและอาจหดตัวประมาณ 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมีแนวโน้มมากกว่าที่ประเมินไว้ระดับ 20 ล้านคน คาดว่าทั้งปีจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 30 ล้านคน หลังจีนเปิดให้ประชากรเดินทางออกนอกประเทศได้เร็วกว่าคาด
หุ้นกลุ่มโดดเด่นในปี 2566 คือ ค้าปลีก สื่อโฆษณา อาหารเครื่องดื่ม โรงพยาบาลใหญ่ เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า และพลังงานสะอาด โดยธีมการลงทุนมาแรง คือ กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น หุ้น HANA และหุ้น KCE ซึ่งอาจยังคงมีความผันผวนเพราะความกังวลต่อทิศทางผลประกอบกับหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มพัฒนาบริหารและให้เช่าพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างหุ้น CPN ที่มีแนวโน้มค่าเช่าและอัตราการเช่าเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการบริโภคที่ดีขึ้น ส่วนกลุ่มหลีกเลี่ยง คือ อาหาร (เนื้อ หมู ไก่) เดินเรือและโลจิสติกส์ และประกัน
ส่วนการลงทุนในกองทุนต่างประเทศ แนะนำลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ หรือ DR อ้างอิงดัชนี S&P500 หรือดัชนี Nasdaq เช่น กองทุน B-INNOTECH, NDX01 ที่ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีคุณภาพดีทั่วโลก ส่วนกองทุนหุ้นเวียดนามแนะกองทุน B-VIETNAM หรือจะลงทุนผ่านตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR) เช่น FUEVFVND01 อ้างอิง DCVMVN DIAMOND ETF (FUEVFVND.VN) ที่ลงทุนอิงดัชนี VN Diamond หุ้นเวียดนามชั้นนำและ E1VFVN3001 อ้างอิง DCVFMVN30 ETF (E1VFVN30.VN) ที่ลงทุนอิงดัชนี VN30 หุ้นเวียดนามชั้นนำขนาดใหญ่ 30 ตัว ถือเป็นอีกทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ
สำหรับการลงทุนในตลาดจีน-ฮ่องกง แนะนำ CN01 อ้างอิง ChinaAMC CSI 300 Index ETF (3188.HK) ที่ลงทุนอิงดัชนี CSI 300 หุ้น A-Share ชั้นนำขนาดใหญ่จดทะเบียนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น 300 ตัว และ CNTECH01 อ้างอิง ChinaAMC Hang Seng TECH Index ETF (3088.HK) ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี Hang Seng TECH หุ้นเทคโนโลยีจีน-ฮ่องกงขนาดใหญ่ และจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง 30 ตัว
นายชัยพร กล่าวต่อว่า การจัด Asset Allocation ในปี 2566 แนะลดการถือครองเงินสด เงินฝากระยะสั้นและตราสารหนี้ระยะสั้น โดยให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวทั่วโลกที่ 14% ตราสารหนี้ระยะสั้น 16% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 9% และตลาดหุ้นจีน 7% นอกจากนั้น ยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ (ดัชนี S&P500) 13% หุ้นสหรัฐฯ (ดัชนี Russell 2000) 5% หุ้นไทย (SET100) 7% หุ้นเวียดนาม 12% และทองคำ 12%
"ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ตลาดหุ้นจีนและเวียดนามยังคงโดดเด่น ส่วนหุ้นไทย Upside เหลือน้อยประมาณ 7.8% จากระดับดัชนีแถว 1,680 จุด เราแนะหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากตลาดหุ้นต่างประเทศอย่างตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะดัชนี NASDAQ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนประมาณ 15-20% โดยในช่วงกลางปี 2566 เราจะกลับมาทบทวนพอร์ตการลงทุนอีกครั้ง ซึ่งอาจเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หากเฟดส่งสัญญาณเรื่องดอกเบี้ยชัดเจน" นายชัยพร กล่าว