บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป ปิดเทรดวันแรกเหนือจอง 2.65 บาท หรือ 68.83% มูลค่าซื้อขาย 2,583.35 ล้านบาท ผู้บริหารเชื่อธุรกิจของบริษัทเติบโตได้อีกมากและมีแผนต่อยอดการเติบโต ทั้งการใช้เทคโนโลยี AI ที่เข้ามาช่วยดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการเข้าไปทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน
บริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BVG เข้าซื้อขายเป็นวันแรก เมื่อเปิดตลาดพบว่าราคาหุ้นอยู่ที่ 6.35 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 64.94% จากราคา IPO ที่กำหนดไว้หุ้นละ 3.85 บาท ระหว่างวันราคาหุ้นปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 6.50 บาท ราคาต่ำสุด 5.10 บาท เมื่อปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 6.50 บาท เหนือจอง 2.65 บาท หรือ 68.83% มูลค่าซื้อขาย 2,583.35 ล้านบาท
นางนวรัตน์ วงศ์ฐิติรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BVG เผยว่า การเข้าทำการซื้อขายได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยมองว่าในด้านการเติบโตของธุรกิจเติบโตได้อีกมาก ปัจจุบันประเทศไทยมียอดการเคลมประกันทั้งปีอยู่ที่ 3.8 ล้านเคลมต่อปี โดยเป็นการเคลมประกันผ่านบริษัทอยู่ที่ 1.5 ล้านเคลมต่อปี หรือคิดเป็น 60% ของยอดการเคลมทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นโอกาสให้บริษัทเติบโตได้อีกมาก อีกทั้งยังมีแผนต่อยอดการเติบโต ทั้งการใช้เทคโนโลยี AI ที่เข้ามาช่วยดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการเข้าไปทำธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้าน
โดยเชื่อมั่นในพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันประกันภัยรถยนต์และสุขภาพ ภายใต้ระบบ EMCS และ บริการ TPA ที่ช่วยยกระดับกระบวนการทำงานของอุตสาหกรรมประกันให้ก้าวสู่การเป็น InsurTech ตลอดจนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่มุ่งรักษาความเป็นผู้นำ โดยนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินไหมตลอดห่วงโซ่คุณค่าอุตสาหกรรมประกัน ทั้งลดขั้นตอน ระยะเวลาและต้นทุนดำเนินการ พร้อมสร้างประสบการณ์การใช้บริการที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้เอาประกัน
สำหรับ BVG เป็นผู้นำการประกอบธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันสำหรับบริหารจัดการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพ นำหุ้นเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ เป็นวันแรกในวันที่ 17 ก.พ. เดินหน้านำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI พลิกโฉมอุตสาหกรรมประกันก้าวสู่ InsurTech พร้อมเดินหน้าแผนขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน สร้าง New S Curve สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ส่วนเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้ในการพัฒนาระบบ AI และระบบสารสนเทศ ขยายธุรกิจไปกลุ่มประเทศอาเซียน โดยการลงทุนหรือร่วมทุนกับบริษัทอื่น และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ