แม้จะมีคำถามมากมายว่าเหรียญคริปโตที่ทำงานบน Public Blockchain แท้จริงแล้วมี Use Case จริงรองรับหรือไม่หรือเป็นเพียงแค่สินค้าในการเก็งกำไรเท่านั้น แต่ตอนนี้เริ่มจะได้เห็นความเคลื่อนไหวสำคัญที่จะนำเหรียญคริปโตมาใช้งานจริงควบคู่กับระบบการเงินดั้งเดิมโดยการใช้ Stablecoins เพื่อการชำระเงิน
ทั้งนี้ Stablecoins คือเหรียญคริปโตที่มีมูลค่าคงที่และจะมีการผูกโยง (Peg) กับสกุลเงิน Fiat โดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐฯ มีตั้งแต่ Stablecoins ที่หนุนหลังด้วย Fiat Currency ทั้งหมด หนุนหลังด้วยเหรียญคริปโตอื่นๆและใช้ระบบ Algorithmic ในการรักษามูลค่า
มีงานวิจัยของบริษัท Circle ผู้ผลิตเหรียญ Stablecoins อย่าง USDC ที่ทำการเปรียบเทียบต้นทุนและค่าธรรมเนียมในการโอนเงินสกุลยูโรกับดอลลาร์สหรัฐฯระหว่างระบบดั้งเดิมหรือ Remittance กับการใช้ Stablecoins EUROC ที่มีสกุลเงินยูโรหนุนหลังกับ USDC ที่มีเงินดอลลาร์สหรัฐฯหนุนหลัง
แม้ทำธุรกรรมด้วย Stablecoins จะมีค่าส่วนต่าง Swap ค่าธรรมเนียมเครือข่ายและค่าธรรมเนียมในการ Cash Out มาเป็นเงินสดแต่รวมแล้วค่าธรรมเนียมทั้งหมดยังถูกกว่าระบบการเงินดั้งเดิม 80% จากการประเมินของ World Bank
ขณะที่ธนาคารเพื่อการชำระเงินระหว่างประเทศหรือ The Bank for International Settlements หรือ BIS กำลังอยูในช่วงที่ศึกษาการนำเทคโนโลยี DeFi stack reference (DSR) มาใช้ในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศโดยกำลังประเมินว่าเมื่อนำ DeFi มาใช้งานร่วมกับระบบการเงินดั้งเดิมแล้วจะมีความเสี่ยงอย่างไร
ก่อนหน้านี้ JP Morgan สาขาสิงคโปร์ถือเป็นธนาคารแรกที่นำเทคโนโลยี DeFi มาใช้กับการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศบนเครือข่ายบล็อกเชนสาธารณะด้วยเชน Polygon โดยดัดแปลงโค้ดของโปรโตคอล AAVE โดยทดลองฝากเงินดอลลาร์สิงคโปร์และเงินเยนของญี่ปุ่นในรูปแบบของโทเคนดิจิทัล
รวมถึงธนาคารแห่งชาติออสเตรเลียวางแผนที่จะเปิดตัว Stablecoin ที่ชื่อว่า AUDN กลางปีนี้ โดยทำงานผ่านเชน Etherrum และ Algorand โดยจะตรึงมูลค่าไว้กับดอลลาร์ออสเตรเลียแบบ 1:1 โดยจะถูกใช้ในการชำระเงินสำหรับธุรกรรมต่างๆ
ล่าสุดบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินของฟินแลนด์ Membrane Finance เปิดตัว Stablecoin ที่มีชื่อว่า EUROe โดยมีเงินยูโรค้ำประกันอยู่ในอัตราส่วน 1:1 ทำงานบนบล็อกเชนของ Ethereum สามารถซื้อได้ที่กระดานเทรด Uniswap วางแผนในอนาคตที่จะขยายไปยังบล็อกเชนอื่นๆ เช่น Solana, Polygon และ Abritrum
แม้แต่ Visa ที่เป็นบริษัทชำระเงินระดับโลกยังมุ่งหน้าพัฒนาเทคโนโลยีที่จะเปิดให้ผู้ใช้งานสามารถแปลงคริปโตในรูปแบบของ Stablecoins เป็นเงิน Fiat ได้โดยจะเริ่มจากเหรียญ USTC บนเชนของ Ethereum โดยบริษัทฯยังคงนโยบายสนับสนุนการชำระเงินระหว่างคริปโตและ Fiat Currency มาอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงยักษ์ใหญ่โซเชียลมีเดียอย่าง Twitter กำลังพัฒนาระบบชำระเงินรูปแบบใหม่และอยู่ระหว่างดำเนินการขอใบอนุญาตเพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้งานทั่วทั้งสหรัฐฯ โดยมุ่งเน้นใช้งานผ่านระบบการเงินดั้งเดิมเป็นหลักแต่ก็จะมีการเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับคริปโตในอนาคต
จะเห็นได้ว่าผู้เล่นรายใหญ่ในธุรกิจการเงินรวมถึงธนาคารกลางกำลังศึกษาการนำ Stablecoins มาใช้กับการชำระเงินทั้งธุรกรรมระหว่างประเทศและการชำระเงินภายในประเทศ เพื่อที่จะลดต้นทุนลงโดยใช้ Public Blockchain ซึ่งนอกจากจะเป็น Use Case จริงของคริปโตที่จะนำมาใช้กับระบบการเงินและเศรษฐกิจจริงยังทำให้อุตสาหกรรมคริปโตเติบโตได้อย่างยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแค่สินค้าในการเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว
บทความโดย : ณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS)
สงวนลิขสิทธ์บทความเฉพาะสื่อในเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ MGR online , iBit และ ที่ได้รับอนุญาติจากผู้เขียนซึ่งเป็นเจ้าของบทความเท่านั้น