สภาทองคำโลก เผยดีมานด์ทองคำปี 65 เพิ่มขึ้น 18% หรือแตะ 4,741 ตัน รับแรงหนุนจากการซื้อของธนาคารกลางและการลงทุนของผู้บริโภครายย่อยยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนและปลอดภัยช่วงเศรษฐกิจผันผวน ผู้ค้าทองประเมินปีนี้ราคาพุ่งต่ออย่างต่ำ 31,800 บาท ขณะนักวิเคราะห์มองทองคำขยับตามเงินเฟ้อต่อ สวนทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง แนะเก็บทองเข้าพอร์ต 5-15%
สภาทองคำโลก (World Gold Council) เผยความต้องการทองคำทั่วโลกประจำปี65 (ไม่รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์) เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยแตะ 4,741 ตัน ซึ่งเป็นยอดรวมรายปีที่สูงสุดนับตั้งแต่ปี 54 เป็นต้นมา โดยเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสที่ 4 ของปี 65 นี้ได้รับแรงหนุนจากการซื้อของธนาคารกลางและการลงทุนของผู้บริโภครายย่อยที่ยังคงความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
โดยประเทศไทยความต้องการทองคำของผู้บริโภคในไตรมาส 4 ปี 66 เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบเป็นรายปี กล่าวคือเพิ่มจาก 12.4 ตัน ในไตรมาสที่ 4 ปี 64 ไปเป็น 13.5 ตัน ด้วยแรงหนุนจากความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำที่สูงขึ้น 8% เมื่อเทียบเป็นรายปี จาก 10.0 ตัน ในไตรมาส 4 ปี 64 เป็น 10.8 ตันในไตรมาส 4 ปี65 และความต้องการอัญมณีเพิ่มขึ้น 15% จาก 2.4 ตัน ในไตรมาส 4 ปี 64 ไปเป็น 2.8 ตัน ในไตรมาส 4 ปี 65
เงินเฟ้อพุ่งหนุนลงทุนเหรียญ-ทองคำแท่ง
Mr. Andrew Naylor ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาค APAC (ไม่รวมประเทศจีน) ของสภาทองคำโลก กล่าวว่า "แม้ตลาดส่วนใหญ่ในภูมิภาคอาเซียนจะมีการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นในปี 65 แต่ประเทศไทยกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำรายปีลดลงเล็กน้อย โดยมาอยู่ที่ 28.5 ตัน ขณะที่ความต้องการอัญมณีรายปีในประเทศยังคงค่อนข้างซบเซาหากเทียบกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดแม้ว่าความต้องการรายไตรมาสจะสูงกว่าก็ตาม"
ทั้งนี้ ภาพรวมของทั่วโลกแล้วความต้องการรายปีของธนาคารกลางเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวไปอยู่ที่ 1,136 ตัน ในปี 65 จาก 450 ตัน ในปีก่อนหน้า ซึ่งนับเป็นการทุบสถิติในรอบ 55 ปี โดยมียอดซื้อในไตรมาส 4 ปี 65 เพียงไตรมาสเดียวที่สูงถึง 417 ตัน ซึ่งทำให้ยอดรวมในช่วงครึ่งหลังของปี 65 พุ่งไปมากกว่า 800 ตัน ขณะความต้องการในฝั่งการลงทุน (ไม่รวมการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์) สำหรับปี 65 เพิ่มขึ้น 10% จากปีที่ผ่านมา โดยมีผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือการชะลอตัวของเงินทุนไหลออก ETF ที่เห็นได้ชัดและความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำที่แข็งแกร่ง ซึ่งทองคำแท่งและเหรียญทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมของนักลงทุนในหลายประเทศทั่วโลก จึงนับว่าเป็นปัจจัยที่มาช่วยชดเชยความต้องการที่ถดถอยในประเทศจีน ในฝั่งของด้านประเทศในยุโรป การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำรวมในปี 65 พุ่งทะลุ 300 ตัน จากแรงหนุนของความต้องการที่มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องในเยอรมนี นอกจากนี้ ความต้องการยังเพิ่มขึ้นอย่างมากในพื้นที่ตะวันออกกลาง โดยดีมานด์รายปีเพิ่มขึ้นถึง 42% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่ความต้องการอัญมณีในปี 65 ลดลงเล็กน้อยที่ 3% มาอยู่ที่ 2,086 ตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความต้องการของอัญมณีในประเทศจีนที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดกว่า 15% เนื่องจากการล็อกดาวน์ในช่วงการระบาดของโควิด-19
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำในไตรมาสที่ 4 ยังส่งผลให้ความต้องการอัญมณีรายปีลดลงอีกด้วย อุปทานของปี 65 ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบเป็นรายปี มาแตะ 4,755 ตัน และยังคงสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดโรคระบาด อีกทั้งการทำเหมืองทองคำยังเพิ่มขึ้นเป็น 3,612 ตัน ซึ่งนับว่าอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา
Ms. Louise Street นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของสภาทองคำโลก กล่าวเพิ่มว่า "ช่วงปีที่ผ่านมาได้เห็นระดับความต้องการทองคำรายปีที่สูงที่สุดในรอบทศวรรษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่สูงของธนาคารกลางเพื่อสำรองไว้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ด้วยการขับเคลื่อนความต้องการที่มีความหลากหลายของตลาดทองคำมีบทบาทในการสร้างความสมดุล แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจะทำให้เกิดเงินทุนไหลออก ETF ในทางเทคนิค แต่ในขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นกระตุ้นให้มีการลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำ โดยความต้องการในการลงทุนเพิ่มขึ้นที่ 10% จากปีที่ผ่านมา"
อย่างไรก็ดี ในปี 66 จากการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจเล็งเห็นสภาพแวดล้อมที่มีความท้าทายและภาวะเศรษฐกิจที่อาจถดถอยลงทั่วโลก อาจทำให้แนวโน้มของการลงทุนทองคำเปลี่ยนไป หากอัตราเงินเฟ้อลดลงในอนาคต การลงทุนในทองคำแท่งและเหรียญทองคำอาจมีอุปสรรค และในทางกลับกันความต้องการกองทุนทอง ETF อาจได้รับอานิสงส์จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องและการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในระดับปานกลาง เชื่อว่าน่าจะเห็นการบริโภคอัญมณียังคงอยู่ในระดับที่ฟื้นตัวได้ด้วยแรงหนุนจากความต้องการที่กลับมาเมื่อประเทศจีนเปิดประเทศอีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเศรษฐกิจร่วงหนักกว่าเดิม ผู้บริโภคจะต้องรัดเข็มขัดในส่วนของรายจ่าย ซึ่งอาจเป็นการทำให้ดีมานด์ในส่วนนี้ลดต่ำลง แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้หลากหลาย แต่ทองคำก็เคยพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจนั้นมีความผันผวนและโดดเด่นในด้านของมูลค่าในฐานะสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ระยะยาว
อินเตอร์โกลด์ มองทองปีนี้เฉียด 32,000 บ.
นายธีรรัฐ จุฑาวรากุล ผู้บริหาร บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด ได้พูดถึงปัจจัยที่จะหนุนทองปี 66 ไว้ว่าความขัดแย้งระหว่างประเทศ และปีก่อนที่เกิดการจับมือกันระหว่าง ซาอุฯและจีน เพื่อดันให้สกุลเงินหยวนเป็นทางเลือกในการซื้อขายน้ำมัน ซึ่งแปลว่าบริษัทน้ำมันทั่วโลกสามารถกระจายความเสี่ยงออกจากสกุลเงินดอลลาร์ได้ จากที่เมื่อก่อนไม่มีทางเลือกจำต้องซื้อขายน้ำมันกันเป็นสกุลเงินดอลลาร์เท่านั้น คาดว่าจีนกับสหรัฐฯจะยุติความขัดแย้งคงมากในเร็ววัน ดังนั้นเมื่อสงครามการค้าส่อแววรุนแรง จะส่งผลดีต่อราคาทองคำในปีนี้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ เศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก เพราะนับจากปี 65 เรื่อยมาจนปัจจุบัน เห็นได้จากสหรัฐฯ ที่เกิดผลกระทบอันเกิดจากปัญหาเงินเฟ้ออยู่ที่อยู่ในระดับสูงมาก ทำให้ธนาคารกลางของหลายประเทศต้องใช้ยาแรงในการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อก็คือการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และแม้จะชะลอเงินเฟ้อในระดับที่สูงได้ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจเช่นกัน ที่สำคัญเลยเงินเฟ้อกลับยังไม่ลดลงมาอย่างที่หวัง ดังนั้น ดอกเบี้ยอาจต้องขึ้นไปอีสักระยะ คาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะทำจุดสูงสุดภายในปีนี้ และถึงจุดที่ไม่สามารถขึ้นได้แล้ว หรือเงินเฟ้อเริ่มลดมาสู่ระดับต่ำ นโยบายทางการเงินของทั่วโลก จะเปลี่ยนเป็นแนวพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ เราก็จะได้เห็นการกลับมาลดดอกเบี้ยหรือพิมพ์เงินอีกครั้ง ในตอนนั้นทองคำจะเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนมองว่า 2100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ไม่ใช่เรื่องยากเลย
นอกจากนี้ปี 65 พบว่าการสะสมทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกนั้นทำเพื่อกระจายความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากมีตัวอย่างจากปัญหาสงครามรัสเซีย - ยูเครน ที่ทำให้ธนาคารกลางตระหนักมากขึ้นว่าการถือครองดอลลาร์ในปริมาณมากมีความเสี่ยง เพราะจะได้เห็นตัวอย่างแล้วว่าหากเกิดปัญหาระหว่างประเทศ การที่ถือสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่งเอาไว้เยอะๆ ทำให้เกิดช่องทางในการใช้มาตรการคว่ำบาตร เงินที่มีไม่สามารถเอาออกมาใช้ได้เลย นี่ถือเป็นความเสี่ยงระดับชาติ
จากที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนส่งผลดีเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำให้มีโอกาสพุ่งสูงได้ โดยถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาดการที่ทองคำจะขึ้นไปอย่างน้อยๆ ที่ระดับ 2100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย นักลงทุนที่คอยมาตั้งแต่ปีที่แล้ว หรืออยากทำกำไรในปีนี้เชื่อว่าจะไม่ผิดหวัง แต่ ยังมีความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจจะต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งความขัดแย้งระหว่างประเทศ หากรุนแรงจะกดดันทองคำอย่างมากในระยะสั้น , ปัญหาเงินเฟ้ออาจจะจบได้อย่างรวดเร็ว หากจีนกับสหรัฐฯกลับมาทำให้โลกค้าขายเสรีอีกครั้ง จะทำให้เงินเฟ้อลดลงอย่างรวดเร็ว การขึ้นดอกเบี้ยจึงไม่จำเป็น และสุดท้ายคือทิศทางค่าเงินบาท เพราะหลังจากมีการเปิดประเทศเป็นไปได้ว่าปีนี้นักท่องเที่ยวจะไหลเข้าไทยเป็นจำนวนมาก จนอาจจะทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าลงไปต่ำกว่า 30 บาทต่อดอลลาร์ อีกทั้งนอกจากด้านการท่องเที่ยวแล้ว ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจในด้านเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งค่อนข้างดีกว่าหลายๆ ประเทศในเอเชีย ซึ่งทำให้แม้ทองคำต่างประเทศมีโอกาสพุ่งสูง แต่ก็จะโดนกดดันด้วยการแข็งตัวของค่าเงินบาท
เอ็มทีเอส ฯเชื่อทองคําสะสมพลังเพื่อดีดขึ้นใหม่
บจ.เอ็มทีเอส แคปปิตอล ประเมินราคาทองคํามีการแกว่งตัวค่อนข้างมาก ในช่วงถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมื่อคืนวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา เน้นยํ้าถึงความจําเป็นที่เฟดจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป และมองว่าเฟดจําเป็นต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับที่คุมเข้ม (Restrictive Level) เอาไว้อีกระยะหนึ่ง อีกทั้งนายเจอโรม พาวเวล ยังคาดว่า ในปี 66 จะเป็นปีที่เงินเฟ้อชะลอตัวลงอย่างมีนัยสําคัญ แม้ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะออกมาแข็งแกร่งเกิน
คาดเดือน ม.ค. ทําให้ภาพรวมราคาทองคํามีความผันผวนแกว่งขึ้นแกว่งลงอย่างรวดเร็ว โดยมีบางช่วงราคาทองคําดีดตัวขึ้นไปที่ระดับ 1,884 ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1,860 เหรียญ และกลับขึ้นมาปิดที่ 1,873ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งราคาทองคํายังคงสามารถรักษาระดับได้ที่ 1,865 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นแนวรับของเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์และค่าเงินบาทมีการแกว่งตัวค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน โดยคาดว่าค่าเงินบาทมีโอกาสจะแข็งค่าขึ้นได้อีก
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงมองว่าภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มจะขยายตัวมากกว่า 5% ในปีนี้ โดยเริ่มมีเงินทุนไหลเข้าไปที่จีนมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ในรอบ 45 ปี ขณะเศรษฐกิจในยูโรโซนยังคงอ่อนแอจากภาวะเงินเฟ้อที่สูง จึงคาดว่าจีดีพีของอังกฤษปีนี้อาจติดลบ ขณะประเทศอื่นในยูโรโซนจะปรับบวกเพิ่ม 1% มองว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยน่าจะยังไม่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ แต่จะเกิดในอังกฤษและยูโรโซนก่อน
ทั้งนี้ ประเมิน ราคาทองคําสามารถทรงตัวอยู่ที่บริเวณแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันได้ ซึ่งมองว่า ราคาทองคําได้เข้าสู่ Fibonacci Retracement 40% ก่อนจะกลับมาทรงตัวที่ 38.6% ที่ระดับ 1,870 เหรียญ ทําให้ภาพรวมราคาทองคํายังคงแข็งแกร่งในแนวโน้มทิศทางระยะกลาง โดยราคาทองคํายังอยู่ในช่วงของการสะสมพลังเพื่อปรับตัวขึ้นต่อ หรือดีดกลับขึ้นไปใหม่ สําหรับราคาทองคําไทยมีแนวรับที่ 29,650 บาท/บาททองคํา และมีแนวต้านที่ 30,000 บาท/บาททองคํา ซึ่งภาพรวมราคาทองไทยยังคงเคลื่อนตัวในกรอบ Sideways โดยได้รับผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าและแข็งค่าสลับกันไปมา ส่งผลให้ราคาทองไทยยังคงทรงตัวใกล้เคียงบริเวณเดิม
YLG เผยเฟดขึ้นดอกเบี้ยหนุนทองทะยาน
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ YLG เผยว่าราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้ประธานเฟดได้มีถ้อยแถลงถึงทิศทางที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ต่ำกว่าระดับ 5% ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้ว่าจะคงอยู่ที่ระดับ 5.1% จึงเป็นปัจจัยให้การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึงทองคำปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักไม่เพียงเท่านี้ทองคำยังได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของแรงซื้อทองคำจากจีนหลังเปิดประเทศรวมถึงแรงขายจากกองทุน SPDR เริ่มชะลอ จึงทำให้ทองคำยังคงปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดย ปีนี้ระยะกลาง-ยาว YLG ประเมินเป้าหมายทองคำไว้ที่ 1,960-2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และยังคงแนะนำสัดส่วนการลงทุนของพอร์ตลงทุนรวมไว้ที่ 5-15% ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต
ดังนั้น การลงทุนระยะสั้น แนะนำนักลงทุนเข้าซื้อเมื่อราคาพักตัว โดยให้แนวรับที่ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนแนวต้านที่ 1,966-1,983 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศประเมินการเคลื่อนไหวในกรอบ 29,500-30,750 บาทต่อทรอยออนซ์