ทิศทางการปรับตัวของราคาที่อยู่อาศัยทุกเซกเมนต์ในปี 66 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวของต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการปรับตัวขึ้นของต้นทุนพลังงานในตลาดโลก ประกอบกับต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ การปรับตัวของราคาที่ดิน ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยเปิดใหม่มีราคาสูงขึ้นในทุกๆ โครงการ
นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มีที่ดินเป็นต้นทุนหลัก เพราะโครงการส่วนใหญ่เกือบ 100% พัฒนาบนที่ดิน ดังนั้น ต้นทุนของการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นโครงการประเภทใดก็ตามจะอยู่ที่ที่ดิน ราคาที่ดินจึงแทบจะเป็นตัวกำหนดประเภทของโครงการ รูปแบบของโครงการ รวมไปถึงระดับของราคาขายของโครงการบนที่ดินแปลงนั้นๆ
เนื่องจากต้นทุนที่ดินคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15-25% ของต้นทุนในการพัฒนาโครงการทั้งหมด ขึ้นอยู่กับประเภทของโครงการ ทำเลที่ตั้งของที่ดิน และระดับของโครงการ ดังนั้น ช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมาจึงเห็นแต่โครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นบนที่ดินที่อยู่ในแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ไม่มีใครซื้อที่ดินริมถนนไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าเพื่อพัฒนาเป็นอาคารพาณิชย์ขายแบบเมื่อ 30 ปีก่อนอีกแล้ว หรือแม้แต่โครงการเชิงพาณิชยกรรม เช่น อาคารสำนักงานยังมีโครงการใหม่ในพื้นที่ CBD ของกรุงเทพมหานครในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และอาคารสำนักงานส่วนใหญ่ใน CBD สร้างบนที่ดินที่เป็นสัญญาเช่าระยะยาวเกือบทั้งหมด เนื่องจากราคาที่ดินเมื่อมีการซื้อขายแล้วสามารถพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมได้เท่านั้นจึงจะคุ้มค่าแก่การลงทุน
พัฒนาการของการปรับราคาที่ดิน
การเปิดให้บริการของเส้นทางรถไฟฟ้าเส้นทางแรกเมื่อปี 42 และเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินเส้นทางแรกปี 47 เป็นเสมือนการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนที่ดินในกรุงเทพฯ แบบชัดเจน เพราะราคาที่ดินในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าต่างๆ เพิ่มขึ้นมากกว่า 2-3 เท่าในช่วง 20-25ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดเจนว่าราคาที่ดินแพงขึ้นมาก ที่ดินแถวเพลินจิตและวิทยุเมื่อประมาณปี 2550 มีราคาซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 9.26 แสนบาทต่อตารางวา แต่พอปี 53 ใกล้ๆ กันมีการซื้อขายที่ราคาประมาณ 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา ก่อนที่จะเกิน 2 ล้านบาทต่อตารางวา ในช่วงปี 61 เพิ่มขึ้นเท่าตัวในเวลา 10 ปี
ในย่านชิดลมหลังสวนมีการซื้อขายที่ดินในราคาสูงๆ ต่อเนื่องเช่นกัน เช่นปี 58 มีการซื้อที่ดินพร้อมบ้านเก่าบนถนนชิดลมในราคา 1.9 ล้านบาทต่อตารางวา ก่อนที่ในปี 61 จะมีการซื้อขายที่ดินพร้อมบ้านเก่าในราคาประมาณ 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของราคาในพื้นที่นี้มากกว่า 64% ในช่วง 3-4 ปี จะเห็นได้ว่าพื้นที่ใจกลางเมืองราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นแบบชัดเจนมาก และราคาที่ดินยังดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นได้อีก เพียงแต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมายังไม่มีการซื้อขายที่ดินในราคาสูงๆ ออกมาให้ได้ฮือฮา ยกเว้นการซื้อที่ดินพร้อมอาคารสำนักงานบนสารสิน ในราคาตารางวาละ 3.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อพร้อมอาคารสำนักงานที่มีผู้เช่าอยู่แล้ว
เช่นเดียวกับที่ดินที่อยู่บนถนนสุขุมวิทในพื้นที่ CBD ที่ปรับเพิ่มขึ้นชัดเจนเช่นกัน และมีการปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่ไม่แตกต่างจากพื้นที่หลังสวน-ชิดลม เพียงแต่ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอาจจะชะลอตัวลงไป แต่การประกาศขายที่ดินในพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทไม่ได้มีการปรับลดราคาลงมาเลย ส่วนใหญ่จะมีการตั้งราคาขายอยู่ในช่วงระหว่าง 2-3 ล้านบาทต่อตารางวา อาจจะมีลดหรือมากกว่านี้ในบางทำเลกับที่ดินบางแปลงแต่ไม่มีการลดราคาลงมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่มีการซื้อขายที่ดินในราคาสูงๆ ก็ตาม เพราะผู้ประกอบการโครงการคอนโดมิเนียมเลือกที่จะชะลอการพัฒนาโครงการที่มีราคาแพง จึงยังไม่มีการเจรจาซื้อขายที่ดินในทำเลเหล่านี้อีกทั้งยังชะลอการพัฒนาโครงการในทำเลเหล่านี้แม้ว่าจะมีที่ดินแล้วก็ตาม
สำหรับที่ดินที่อยู่ไกลออกไปจากย่านใจกลางเมืองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเช่นกันเพราะการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าต่างๆ มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินในทำเลต่างๆ รอบกรุงเทพฯ โดยเฉพาะทำเลหรือย่านที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าผ่านจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินได้ชัดเจน ไม่ต้องพูดถึงทำเลในพื้นที่รอบๆ CBD เช่น พญาไท พหลโยธิน รัชดาภิเษก หรือพระราม 4 ที่ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า หรือมากกว่านี้ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูเห็นการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของราคาที่ดินชัดเจน
โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวถนนรามอินทราโดยราคาที่ดินปัจจุบันอยู่ในช่วง 200,000-300,000 บาทต่อตารางวา ปรับเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 15-30% เช่นกันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ดินในซอยมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เพราะมีผู้ประกอบการโครงการบ้านจัดสรรเข้าไปซื้อที่ดินกันมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาที่ดินในซอยต่างๆ ที่แยกออกจากถนนรามอินทราปรับเพิ่มขึ้นไปมากกว่า 10% จากช่วงก่อนปี 63 ซึ่งปัจจุบันอาจจะมีหลายแปลงที่บอกขายในราคามากกว่า 58,000 บาทต่อตารางวา ซึ่งยากที่จะนำมาพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ราคาไม่แพง ผู้ประกอบการหลายรายจึงเปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวมากขึ้นในพื้นที่นี้
ทั้งนี้ พื้นที่ตามแนวถนนลาดพร้าวและศรีนครินทร์ซึ่งอยู่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลือง มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของราคาที่ดินเช่นกันเพราะการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้า ประกอบกับพื้นที่ตามแนวถนนทั้ง 2 เส้นทางนี้มีการพัฒนามาก่อนหน้านี้หลายปีมากแล้ว รวมไปถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ครบมาแล้วด้วยเช่นกัน การมีเส้นทางรถไฟฟ้าเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มศักยภาพของพื้นที่สูงขึ้นไปอีก ซึ่งราคาที่ดินในพื้นที่ตามแนวถนนลาดพร้าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาโดยตลอด
ช่วงก่อนปี 60 ราคาที่ดินตามแนวถนนลาดพร้าวอยู่ที่ 150,000-500,000 บาทต่อตารางวา แต่ ณ ปัจจุบันราคาที่ดินอยู่ในช่วงระหว่าง 200,000-800,000 บาทต่อตารางวา และสำหรับพื้นที่ตามแนวถนนศรีนครินทร์ไปจนถึงสถานีสำโรง มีราคาที่ดินในช่วงก่อนปี 2560 อยู่ที่ระหว่าง 150,000-250,000 บาทต่อตารางวา แต่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 200,000-600,000บาทต่อตารางวา แล้วแต่ทำเลและศักยภาพของที่ดิน ราคาที่ดินในซอยตามแนวถนนศรีนครินทร์เพิ่มขึ้นเช่นกันจนยากที่จะพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ในพื้นที่นี้อีกแล้ว เพราะราคาที่ดินมากกว่า 50,000 บาทต่อตารางวาแล้วในหลายพื้นที่ตามแนวถนนจรัญสนิทวงศ์ และเพชรเกษมที่มีเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินผ่านก็เช่นกัน
ทั้งนี้ ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นแบบต่อเนื่องจนเริ่มเห็นการกว้านซื้อตึกแถงอาคารพาณิชย์ริมถนนมากขึ้นเพื่อนำมาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ที่ดินในพื้นที่ตามแนวถนนจรัญสนิทวงศ์และเพชรเกษมในทำเลที่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินมีราคาขายที่ไม่ต่ำกว่า 3-5 แสนบาทต่อตารางวาไปแล้ว เพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว จากก่อนหน้านี้ไม่กี่ปีเพราะเกิดการซื้อขายที่ดินกันต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นและราคาขายคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน หลายโครงการเปิดขายในราคาเริ่มต้นที่ไม่น้อยกว่า 110,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งอาจจะถือว่าสูงมากสำหรับโครงการในฝั่งธนบุรี
นอกจากนี้ พื้นที่ตามแนวถนนเส้นทางใหม่ที่เพิ่งเปิดให้บริการ เช่น ตามแนวถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ (ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า) ปรับเพิ่มสูงขึ้นกว่า 1-2 เท่าตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะเข้าไปซื้อที่ดินของผู้ประกอบการต่างๆ จนมีผลให้ราคาที่ดินในทำเลนี้มากกว่า 130,000 บาทต่อตารางวาไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าราคาที่ดินขนาดนี้นั้นไม่สามารถพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรราคาถูกได้อยู่แล้ว ช่วงที่ผ่านมาจึงมีแต่โครงการบ้านจัดสรรราคาแพงในทำเลนี้ เช่นกันกับพื้นที่ตามแนวถนนเทพารักษ์ ที่แม้ว่าจะอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว แต่ราคาที่ดินอาจจะไม่ร้อนแรงเท่าที่ควรเพราะราคาที่ดินตอนนี้อยู่ในช่วงระหว่าง 80,000-140,000 บาทต่อตารางวาสำหรับที่ดินติดถนน แต่ถ้าอยู่ในซอยก็ต่ำกว่านั้นแล้วแต่ขนาดที่ดิน และทำเลที่ตั้งของที่ดิน
โดยที่ดินในหลายทำเลทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑลปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและประเภทของโครงการให้สอดคล้องกับราคาที่ดิน ประกอบกับต้นทุนในการก่อสร้างเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้น ราคาบ้านหรือคอนโดมิเนียมในปี 66 เป็นต้นไปมีราคาขายที่สูงขึ้นมากกว่า 8-10% แน่นอนหรืออาจจะมากกว่านี้ก็ได้ในหลายทำเลเพราะต้นทุนนการพัฒนาโครงการต่างๆ สูงขึ้นหมด และบางอย่างสูงขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วเพียงแต่ผู้ประกอบการเลือกที่จะลดคุณภาพของวัสดุลงเพื่อให้ต้นทุนในการพัฒนาไม่สูงเกินไปเพราะมีผลต่อราคาขายผู้ประกอบการยังไม่ต้องการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่หลังจากนี้คงปรับราคาขายเพิ่มขึ้นกันทุกราย
ก่อนหน้านี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ได้จัดทำดัชนีราคาที่อยู่อาศัย โดย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 130.2 โดยเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่าดัชนี 127.2 โดยพบว่าส่วนใหญ่เป็นโครงการใหม่ที่มีการเปิดขายในไตรมาสที่ 4/65 ซึ่งส่วนใหญ่มีต้นทุนค่าก่อสร้างสูงขึ้นตามราคาวัสดุก่อสร้างที่ยังคงเพิ่มขึ้นเกือบทุกหมวด ยกเว้นหมวดกระเบื้องเมื่อเทียบราคากับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จึงทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับราคาสูงขึ้นเล็กน้อย
โดยเมื่อจำแนกดัชนีราคาบ้านจัดสรรตามพื้นที่พบว่า กทม.มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.1 เพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 0.2% ขณะที่ใน 3 จังหวัดปริมณฑลคือจังหวัดสมุทรปราการ นนทบุรี และปทุมธานีมีค่าดัชนีเท่ากับ 132.5 เพิ่มขึ้น 3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าลดลง 3.4%
ส่วนดัชนีราคาบ้านเดี่ยว กทม.และปริมณฑล ไตรมาส 4/65 มีค่าดัชนีเท่ากับ 131.0 เพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 2.8% และเมื่อจำแนกพื้นที่พบว่าดัชนีราคาบ้านเดี่ยวมีการเพิ่มขึ้นมากในพื้นที่ 3 จังหวัดปริมณฑลขณะที่พื้นที่กรุงเทพฯ ลดลงเล็กน้อย
ด้านดัชนีราคาทาวน์เฮาส์ในกรุงเทพฯ ปริมณฑล ไตรมาส 4/65 มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.3 เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 1.8% โดยมีค่าดัชนีเท่ากับ กทม.อยู่ที่ 128.2 เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนและเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 2.2%
ล่าสุด ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ รายงานดัชนีราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในกรุงเทพฯ -ปริมณฑลประจำไตรมาส 4/65 พบว่า มีค่าดัชนี 381.4 จุดเพิ่มขึ้น 3.4% จากไตรมาส 3/65 และเพิ่มขึ้น 12.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 โดย ดร.วิชัย กล่าวว่าปัจจัยที่ทำให้ราคาที่ดินเปล่ามีการเพิ่มขึ้นมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังยืดเยื้อจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจจะทำให้เศรษฐกิจไทยปี 66 ขยายตัวลดลง รวมถึงรัฐบาลได้ประกาศจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มอัตรา
ขณะที่กรมธนารักษ์ได้ประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่รอบปี 66-69 ในวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีผลให้ภาพรวมของราคาประเมินที่ดินทั้งประเทศปรับขึ้นเฉลี่ย 8% ปัจจัยเหล่านี้ได้ทำให้เจ้าของที่ดินขายที่ดินสู่ตลาดเพื่อลดภาระการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ขณะที่ความต้องการซื้อที่ดินสะสมในตลาดมีการปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/65 นี้พบว่าทำเลที่ราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรกคือ อันดับที่ 1 ทำเลโซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง โดยมีอัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้น 57.3% อันดับ 2 ทำเลในโซนเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ซึ่งมีอัตราการการปรับตัวเพิ่มขึ้น 46.9% อันดับ 3 ที่ดินในโซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 31.9% อันดับ 4 ที่ดินในโซนกรุงเทพฯ ชั้นในมีอัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.6% และอันดับ 5 ที่ดินในโซนบางเขน-สายไหม-ดอนเมือง-หลักสี่-มีนบุรี-หนองจอก-คลองสามวา-ลาดกระบัง ซึ่งมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.1%
สำหรับการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาซื้อขายที่ดินที่ยังไม่สูงมากนักขณะที่ความต้องการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบมีมากขึ้นสอดคล้องกับความสามารถในการซื้อและความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบของผู้บริโภคที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ราคาที่ดินในเขตชั้นในและชั้นกลางของกรุงเทพฯ มีราคาที่สูงอยู่ค่อนข้างมากทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้มากนักเมื่อเทียบกับราคาที่ดินในทำเลรอบเมือง
สำหรับราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในแนวเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าผ่านในไตรมาส 4/65 พบว่าแนวเส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการปรับตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดประกอบด้วย 1.แนวรถไฟฟ้า MRT ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว โดยมีค่าดัชนี 508.3 จุด มีอัตราการปรับตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 16.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 โดยราคาที่ดินในเขตบางซื่อเป็นบริเวณที่มีราคาปรับตัวมากที่สุดอันดับ 2.ที่ดินเลียบแนวรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) ซึ่งเป็นโครงการในอนาคตมีค่าดัชนีเท่ากับ 500.4 จุด โดยมีอัตราการปรับตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 16.6% โดยราคาที่ดินในเขตบางรักและสัมพันธ์วงศ์มีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุด
ขณะที่ อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินในแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) มีค่าดัชนี 477.3 จุด โดยมีอัตราการปรับตัวของราคาที่ดินเพิ่ม 16.6% โดยราคาที่ดินในเขตจตุจักร ดอนเมือง และบางเขนเป็นทำเลที่ราคาปรับตัวสูงสุด อันดับ 4 ที่ดินในแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค) มีค่าดัชนี 488.4 จุด มีอัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.1% โดยราคาที่ดินในเขตภาษีเจริญปรับตัวขึ้นสูงสุด และอันดับ 5 ที่ดินในแนวรถไฟฟ้าสายสีทอง (ธนบุรี-ประชาธิปก) มีค่าดัชนี 481.4 จุด มีอัตราการปรับตัวของราคาที่ดิน 13.1% โดยราคาที่ดินในเขตคลองสานปรับตัวสูงสุด
จากผลการจัดทำดัชนีราคาที่ดินเปล่าและราคาที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสที่ 4/65 ซึ่งพบว่าดัชนีของราคาที่ดินเปล่าและดัชนีราคาที่อยู่อาศัยมีอัตราการปรับตัวสูงขึ้น ทั้ง 2 ส่วนสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการปรับตัวของราคาที่ดินในช่วงที่ผ่านมีผลต่อการขยับขึ้นของราคาที่อยู่อาศัยในปี 66 นี้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากที่มีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าในเส้นทางใหม่เพิ่มมากขึ้น จะทำให้ในอนาคตทำเลย่านชานเมือง หรือรอบนอก กทม.มีการปรับตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นไปอีก และแน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นที่ราคาบ้านใหม่จะปรับตัวสูงขึ้นไปด้วย