“พรีโม” ประเมิน 5 เมกะเทรนด์เปลี่ยนแปลงธุรกิจบริการอสังหาฯ ประกาศแผนธุรกิจปี 66 ขยายอาณาจักรหลากมิติสอดรับเมกะเทรนด์ เพิ่มเซกเมนต์ใหม่-คลอดธุรกิจใหม่-บุกต่างจังหวัด สร้าง “Super Living Service” บริการอสังหาฯ ครบวงจรเพื่อทั้งลูกค้า B2B และ B2C หวังเป็น Happy Maker ตั้งเป้าทั้งปีบริหารนิติบุคคลและบริหารงานขายทะลุ 150 โครงการ พร้อมกวาดรายได้ 1,300 ล้านบาท โต 3 เท่าจากปี 64
น.ส.จตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรี โม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI กล่าวว่าสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ทั่วโลก มีเมกะเทรนด์ที่อาจเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับบริการอสังหาริมทรัพย์ใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การเปลี่ยนแปลงมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขยับมาเป็นทางเอเชียมากขึ้น ไทยเป็นประเทศเป้าหมายทั้งการลงทุนและการท่องเที่ยวของเหล่ามหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดซื้อ-ขาย-เช่าอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตต่อเนื่อง 2.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาใหญ่ของโลกนำมาสู่การใช้พลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้มีความต้องการ EV Charger ตลอดจนโซลาร์เซลล์ในที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น
3.ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และมีบทบาทต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตมากขึ้น 4.การเปลี่ยนแปลงทางสังคม ทั่วโลกก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ความต้องการการบริการสำหรับผู้สูงวัยจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และ 5.การเป็นเมืองอย่างรวดเร็ว ประชากรย้ายถิ่นฐานไปหัวเมืองต่างๆ มากขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ขยายไปตามพื้นที่ใหม่ๆ มากขึ้น
แนวโน้มดังกล่าวทำให้ในปี 66 บริษัทเตรียมแผนการเติบโตภายใต้แนวคิด “Super Living Service” ขยายขอบเขตธุรกิจบริการใหม่ๆ ทั้งกลุ่มต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ในหลากหลายมิติ ได้แก่ 1.การเพิ่มบริการในเซกเมนต์ใหม่ เช่น การขยายบริการบางกลุ่มธุรกิจจากเซกเมนต์ทั่วไป สู่เซกเมนต์ระดับลักชัวรี 2.การเปิดตัวธุรกิจใหม่ มุ่งเน้นธุรกิจที่จะช่วยเติมเต็มความครบวงจรของงานบริการ และธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทางเมกะเทรนด์โลก และ 3.การบุกตลาดต่างจังหวัด วางแผนส่งบริษัทย่อยบุกให้บริการในพื้นที่ทั้ง 4 ภูมิภาคหลักของประเทศ ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคอีสานที่ จ.ขอนแก่น และเขาใหญ่ ภาคกลางตอนล่างและภาคใต้ที่ หัวหิน และ จ.ภูเก็ต และภาคตะวันออก ที่ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง
น.ส.จตุพร กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2/66 บริษัทจะเริ่มนำร่องบุกต่างจังหวัดนอกพื้นที่ EEC เป็นครั้งแรกที่จังหวัดภูเก็ต โดยทยอยส่งบริษัทย่อยในปัจจุบันทั้ง 8 บริษัท เข้าไปดำเนินธุรกิจ ได้แก่ 1.บริษัท พรีโม แมเนจเม้นท์ จำกัด และ 2.บริษัท คราวน์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ให้บริการบริหารนิติบุคคล ดูแลคุณภาพชีวิตลูกค้าทั้งระดับทั่วไปและระดับลักชัวรี เช่น โครงการวิลลาในพื้นที่ 3.บริษัท แพสชั่น เรียลเตอร์ จำกัด ให้บริการนายหน้าซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่า และพัฒนาโครงการ 4.บริษัท อูโน่ เซอร์วิส จำกัด ดูแลบริการงานด้านความสะอาด 5.บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด ให้บริการบริหารงานก่อสร้างโครงการ 6.บริษัท ยูพีเอ็ม ดีไซน์ สตูดิโอ จำกัด ให้บริการออกแบบสถาปัตยกรรมทั้งภายในและภายนอกอาคารแก่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
7.บริษัท วายด์ อินทีเรีย จำกัด ให้บริการตกแต่งภายในครบวงจร และ 8.บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเมนท์ จำกัด ดำเนินงานบริหารจัดการสินทรัพย์ ช่วยบริหารจัดการผู้เช่าหรือผู้เข้าพัก สร้างรายได้หรือผลตอบแทนให้เป็นไปตามเป้าหมายของเจ้าของโรงแรม หรือที่พักอาศัย
“ทุกธุรกิจของเรา ทั้งธุรกิจดั้งเดิมและธุรกิจใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคตั้งแต่ตอนยังโสด ตอนแต่งงาน ตอนมีครอบครัว ตอนทายาทเริ่มเติบโต เราจะเป็น Happy Maker ที่มีบริการตอบโจทย์ผู้บริโภคตลอดช่วงชีวิต หรือ Lifetime” น.ส.จตุพร กล่าว
หลังจากนี้ บริษัทยังมีแผนพิจารณาการขยายธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภครายย่อยเป็นหลัก เช่น ธุรกิจร้านสะดวกซัก (Wash & Dry) รวมถึงรักษาระดับการเติบโตในกลุ่มธุรกิจทั้ง 8 ที่ให้บริการอยู่แล้วในปัจจุบัน โดย ณ สิ้นปี 66 ตั้งเป้าจะมีโครงการที่เข้าไปบริหารนิติบุคคลและโครงการที่เข้าไปบริหารงานขายรวมกันมากกว่า 150 โครงการ ขณะเดียวกัน ตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 66 ไว้ที่ 1,300 ล้านบาท เติบโตจากปี 64 ถึงราว 173.06% หรือเกือบ 3 เท่าตัว