หุ้นกลุ่ม SET100 จัดเป็นพิมพ์นิยมของนักลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้ได้คัดจาก 100 หลักทรัพย์ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องทำราคาปิดตอนสิ้นปี เติบโตเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เริ่มจากสิ้นปี 2562 จนถึงสิ้นปี 2565 พบว่ามี 8 หลักทรัพย์ทีเข้าข่ายด้งกล่าว ดังต่อไปนี้
1.AAV (บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น) สิ้นปี62 ปิด 2.24 บาท , สิ้นปี 63 ปิด 2.36 บาท ,สิ้นปี 64 ปิด 2.54 บาท ,สิ้นปี 65 ปิด 3.06 บาท , ล่าสุด 13 ม.ค.66 ปิด 3.02 บาท,ผลตอบราคาย้อนหลัง เริ่มจาก YTDปี 66 อยู่ที่ -1.31% , YTD ปี 65 อยู่ที่ +20.47 % , YT Dปี 64 อยู่ที่ +13.18% , ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 3.30 / 2.20 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน N/A% ,มาร์เกตแคป 36,736.14 ล้านบาท, ค่าP/E N/A เท่า,เทียบกำไร 9เดือน ปี 65 อยู่ที่ -11,144.39 ล้านบาท ขณะกำไร 9 เดือน ปี 64 อยู่ที่ -5,654.74ล้านบาท ,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 9 เดือน N/A%
AAV เป็น 1 ในหุ้นที่โบรคเชียร์ เพราะอยู่ในกลุ่มเปิดประเทศ (Reopening) รับข่าวจีนประกาศเปิดประเทศเร็วกว่าคาดการณ์ ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสสูงกว่าระดับเป้าหมาย ขณะผู้บริหาร AAV เผยว่า แนวโน้มของธุรกิจในปี 66 จะพลิกฟื้นกลับมาแบบ Turnaround โดยคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะกลับมาใกล้ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 หรือราว 20 ล้านคน จากปี 65 ที่ 10 ล้านคน โดยบริษัทได้เตรียมความพร้อมสำรองเครื่องบินอีก 10 ลำเพื่อรองรับไว้แล้ว
2.EA (บมจ.พลังงานบริสุทธิ์) สิ้นปี 62 ปิด 43.75 บาท ,สิ้นปี 63 ปิด 49.25 บาท ,สิ้นปี 64 ปิด 96.00 บาท ,สิ้นปี 65 ปิด 97.00 บาท , ล่าสุด 13 ม.ค.66 ปิด 89.50 บาท,ผลตอบราคาย้อนหลัง เริ่มจาก YTD ปี 66 อยู่ที่ -7.73% , YTDปี 65 อยู่ที่ +1.04 % , YTDปี 64 อยู่ที่ +94.92% , ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ52สัปดาห์ คือ 101.00 / 76.50 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 0.33% ,มาร์เกตแคป 333,835.00 ล้านบาท, ค่าP/E 46.03 เท่า,เทียบกำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 5,432.04 ล้านบาท ขณะกำไร 9 เดือน ปี 64 อยู่ที่ 4,218.76 ล้านบาท ,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 9 เดือน 28.76%
โบรคฯ ระบุ แนวโน้มกำไรปีนี้เติบโตเด่น จากแรงหนุนจากการส่งมอบรถ EV เพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นค่า Ft หนุนกำไรของโรงไฟฟ้าซึ่งอยู่ในระบบ Adder คาด Capacity โรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากการคัดเลือกโครงการ Renewable ใหม่ของ กกพ. 5,200 MW ซึ่งจะประกาศผล กลางเดือน มี.ค. หลังจาก EA ไม่ได้ขยาย Capacity โรงไฟฟ้ามาหลายปี ล่าสุด EA ได้นำนวัตกรรมหัวรถจักรไฟฟ้า “MINE Locomotive” สู่เมืองไทยภายใต้ความร่วมมือกับพันธมิตร
3.FORTH (บมจ.ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น) สิ้นปี 62 ปิด 5.55 บาท ,สิ้นปี 63 ปิด 6.10 บาท ,สิ้นปี 64 ปิด 21.20 บาท ,สิ้นปี 65 ปิด32.25 บาท , ล่าสุด 13 ม.ค.66 ปิด 34.25 บาท,ผลตอบราคาย้อนหลัง เริ่มจากYTDปี 66 อยู่ที่ +6.20% , YTDปี 65 อยู่ที่ +52.12 % , YTD ปี 64 อยู่ที่ +247.54% , ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 64.00 / 18.70 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 1.25 % ,มาร์เกตแคป 32,880.00 ล้านบาท, ค่าP/E 41.85 เท่า,เทียบกำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 618.58 ล้านบาท ขณะกำไร 9 เดือน ปี 64 อยู่ที่ 536.81 ล้านบาท ,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 9 เดือน 15.23%
คาดรายได้จากธุรกิจเต่าบินเติบโตต่อเนื่อง คงเป้าตู้เต่าบินปี 65 ที่ 5,000 ตู้ (ณ ไตรมาส 3/65 อยู่ที่ 3,572 ตู้ โต 67% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) ยอดขายเฉลี่ย/วัน อยู่ที่ 60 แก้ว ด้าน Backlog ของ FORTH อยู่ที่ 960 ล้านบาท ส่วนปี 66 มี Potential Project ที่ให้ประมูลกว่า 9.2 พันล้านบาท หลังจากที่ล่าช้าในปี 65 หากได้งานที่มีมูลค่าสูงตามแผน แนวโน้มกำไรจะดีกว่าที่ตลาดประเมิน
4.GLOBAL (บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์) สิ้นปี 62 ปิด 16.20 บาท , สิ้นปี 63 ปิด 17.00 บาท ,สิ้นปี 64 ปิด 20.00 บาท ,สิ้นปี 65 ปิด 22.40 บาท , ล่าสุด 13 ม.ค.66 ปิด 20.80 บาท,ผลตอบราคาย้อนหลัง เริ่มจากYTDปี 66 อยู่ที่ -7.14% , YTD ปี 65 อยู่ที่ +16.87 % , YTD ปี 64 อยู่ที่ +23.00% , ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 1.19% ,มาร์เกตแคป 99,876.12 ล้านบาท, ค่าP/E 26.69 เท่า,เทียบกำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 2,959.57 ล้านบาท ขณะกำไร 9 เดือน ปี 64 อยู่ที่ 2,597.20 ล้านบาท ,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 9 เดือน 13.95%
คาดว่ากำไรสุทธิงวดไตรมาส 4/65 จะลดลงมาอยู่ที่ 700 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 10% จากไตรมาสก่อน เพราะถูกกดดันจากราคาขายเหล็กลง โดยราคาเหล็กข้ออ้อยลงเฉลี่ย 7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน รวมถึงช่วงเดียวกันปีก่อนมีฐานที่สูง
5.GULF (บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์) สิ้นปี 62 ปิด 166.00 บาท ,สิ้นปี 63 ปิด 34.25 บาท ,สิ้นปี 64 ปิด 45.75 บาท ,สิ้นปี 65 ปิด 55.25 บาท , ล่าสุด 13 ม.ค.66 ปิด 54.00 บาท,ผลตอบราคาย้อนหลัง เริ่มจาก YTD ปี 66 อยู่ที่ -2.26% , YTDปี 65 อยู่ที่ +20.77% , YTD ปี 64 อยู่ที่ +33.58% , ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ52สัปดาห์ คือ 57.25 / 45.00 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 0.81% ,มาร์เกตแคป 633,590.10 ล้านบาท, ค่าP/E 69.97 เท่า,เทียบกำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 6,011.92 ล้านบาท ขณะกำไร 9 เดือน ปี 64 อยู่ที่ 4,626.87 ล้านบาท ,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 9 เดือน 29.93%
แนวโน้มรายได้ในปี 2566 ของบริษัทคาดว่าจะเติบโตกว่า 30% จากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 80% เนื่องจากหลายโครงการรับรู้กำไรในปีหน้า ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า กัลฟ์ กัลฟ์ พีดี หรือ GPD 2 ยูนิต ที่จะเปิดดำเนินการในเดือนมีนาคม และเดือนตุลาคม ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้เต็มปีของโครงการโรงไฟฟ้า Jackson Generat ในสหรัฐอเมริกา ปีละประมาณ 2 พันล้านบาท และรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้า กัลฟ์ เอสอาร์ซี หรือ GSRC ครบทั้ง 4 ยูนิต
6.JMT (บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส) สิ้นปี 62 ปิด 20.00 บาท ,สิ้นปี 63 ปิด 36.00 บาท ,สิ้นปี 64 ปิด 68.50 บาท ,สิ้นปี65 ปิด 69.00 บาท , ล่าสุด 13 ม.ค.66 ปิด 69.50 บาท,ผลตอบราคาย้อนหลัง เริ่มจากYTD ปี 66 อยู่ที่ +0.72% , YTDปี 65 อยู่ที่ +0.73% , YTD ปี 64 อยู่ที่ +94.78% , ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 88.25 / 58.00 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 1.03 % ,มาร์เกตแคป 101,411.49 ล้านบาท, ค่าP/E 58.52 เท่า,เทียบกำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 1,255.80 ล้านบาท ขณะกำไร 9เดือน ปี 64 อยู่ที่ 923.32 ล้านบาท ,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 9 เดือน 36.01%
ผลประกอบการปี2566 ทาง JMT ตั้งเป้าการเติบโตไว้ประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปี 2565 เนื่องจากทิศทางพอร์ตบริหารหนี้ภายใต้การบริหารงานของธุรกิจนั้นมีแนวสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการเข้าซื้อเอ็นพีแอลใหม่ๆ เข้าเพิ่มเติม โบรคมองว่าแนวโน้มเติบโตสูงหนุนด้วยพอร์ตหนี้ที่ขยายตัวสูงมากกว่า 2 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดีคาด JMT จะมีตัวเลขกำไรปี 2566 อยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% YoY
7.ORI (บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้) สิ้นปี 62 ปิด 7.00 บาท ,สิ้นปี 63 ปิด 7.55 บาท ,สิ้นปี 64 ปิด 11.30 บาท ,สิ้นปี 65 ปิด 12.10 บาท ,ล่าสุด 13 ม.ค.66 ปิด 11.90 บาท,ผลตอบราคาย้อนหลัง เริ่มจาก YTD ปี 66 อยู่ที่ -1.65% , YTD ปี 65 อยู่ที่ +7.08% , YTDปี 64 อยู่ที่ +49.67% , ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 12.70 / 9.20 บาท ,อัตราเงินปันผลตอบแทน 4.58% ,มาร์เกตแคป 29,204.06 ล้านบาท, ค่า P/E 8.16 เท่า,เทียบกำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 2,741.16 ล้านบาท ขณะกำไร 9 เดือน ปี 64 อยู่ที่ 2,386.09 ล้านบาท ,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 9 เดือน 14.88%
บล.กสิกรไทย ส่อง ORI คงคำแนะนา “ซื้อ” และเพิ่ม TP ปี 2566 เป็น 13.9 บาท จาก 13.5 บาท ตามการปรับประมาณการกำไรพัฒนาการที่น่าตื่นเต้นในปี 2566 สนับสนุนคำแนะนาของฝ่ายวิจัย แม้คาดว่า ORI จะทำกำไรสูงสุดเป็นประวัตการณ์ในปี 2565 แต่แผนธุรกิจเชิงรุก และ backlog ที่สูงจะช่วยผลักดันกำไรในปี 2566 ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
8.SPALI (บมจ.ศุภาลัย) สิ้นปี 62 ปิด 17.90 บาท ,สิ้นปี 63 ปิด 20.50 บาท ,สิ้นปี 64 ปิด 22.70 บาท ,สิ้นปี 65 ปิด 24.30 บาท , ล่าสุด 13 ม.ค.66 ปิด 23.70 บาท,ผลตอบราคาย้อนหลัง เริ่มจากYTDปี 66 อยู่ที่ -2.47% , YTDปี 65 อยู่ที่ +7.05% , YTDปี 64 อยู่ที่ +10.73% , ราคาสูงสุด/ต่ำสุดรอบ 52 สัปดาห์ คือ 25.25 / 18.10 บาท , อัตราเงินปันผลตอบแทน 5.24% ,มาร์เกตแคป 46,287.38 ล้านบาท, ค่าP/E 5.23 เท่า,เทียบกำไร 9 เดือน ปี 65 อยู่ที่ 6,001.78 ล้านบาท ขณะกำไร 9 เดือน ปี 64 อยู่ที่ 4,191.14 ล้านบาท ,อัตราการเปลี่ยนแปลงกำไรสุทธิ 9 เดือน 43.20%
โบรคคาดอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการยกเลิกผ่อนคลายนโยบาย LTV เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกลาง-ล่าง แต่ประเมินส่วนนี้ในกำไรสุทธิ 2566 ที่คาดลดลง YoY บ้างแล้วโดยรวม SPALI ยังมี Backlog รอโอนที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของกลุ่ม, มีประสิทธิภาพทำกำไรสูงสุดของกลุ่ม
อย่างไรก็ตามในหุ้นทั้ง 8 หลักทรัพย์นี้เป็นหุ้นในกลุ่มพลังงาน 2 หลักทรัพย์ และกลุ่มอสังหาฯ 2หลักทรัพย์ จึงน่าจับตา 2กลุ่มนี้ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหนในปี 2566 นี้